เจอเวียดนามแล้วไทยจะหนาว
  AREA แถลง ฉบับที่ 485/2562: วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            อยากเตือนแรงๆ ว่าเวียดนามแซงไทยแน่ ไม่ช้าแต่เร็ว  แล้วไทยจะหนาว  เราจะทำอย่างไรดีในขณะที่ประเทศไทยถูก “แช่แข็ง”แบบนี้

            ที่เขียนนี่ไม่ได้ “ชังชาติ” นะ แต่รักชาติไทยมาก  แต่ผมจะไม่ได้เป็นเชื้อชาติไทยหรอกครับ ผมมีเชื้อชาติจีน แต่ผมก็รักแผ่นดินเกิด  ถ้าจีนกลายร่างเป็นจักรวรรดินิยมรุกราน (ทางเศรษฐกิจ) ต่อประเทศไทย ผมก็ต้องสู้กับจีนในฐานะผู้บุกรุก ปกป้องประชาชนคนเล็กคนน้อยชาวไทยที่ไร้ทางสู้ ตรงนี้ชัดไหมครับ!

            ผมก็ไม่ได้ชังเวียดนามด้วย ออกจะนับถือในฐานะที่มีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อจีน  เมื่อปีที่แล้วประชาชนเวียดนามออกมาประท้วงตามเมืองต่างๆ ในเวียดนาม ต่อต้านการเช่าที่ดิน 99 ปีของนักลงทุนจีน  รัฐบาลของประชาชนเวียดนาม ก็ยินดีทำตามมติมหาชน ยกเลิกการให้เช่าที่ดินดังกล่าวเสีย  นี่แสดงว่ารัฐบาลของเขาไม่เอาใจต่างชาติเพียงเพื่อปั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น

            ที่ผมออกมาเตือนเรื่องเวียดนามนั้น ในกรณีนี้ ผมเขียนเป็นฉบับที่ 2 ในรอบ 2 สัปดาห์  ผมรู้จักเวียดนามค่อนข้างดี  ผมเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังเวียดนาม ทำงานการวางโรดแมพสร้างวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน  ผมสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กว้างขวางและชัดเจนที่สุดทั้งในกรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ซิตี้  ผมมีอาจารย์ มีเพื่อน มีผู้ที่มาเรียนกับผม มาทำงานกับผมที่ล้วนเป็นชาวเวียดนามเป็นจำนวนมาก  ยิ่งภาวะในขณะนี้ เวียดนามกำลังก้าวหน้าไปอย่างมาก

            เมื่อ 40 ปีก่อน เพื่อนผมคนหนึ่งเป็น “มนุษย์เรือ” หนีจากเวียดนาม ไปตั้งรกรากอยู่สหรัฐอเมริกา จนเป็นสถาปนิกใหญ่ในทุกวันนี้ ตอนนั้นเวียดนามบ้านแตกสาแหรกขาด เรียกได้ว่า “สิ้นชาติ” สำหรับพวกนายทุนขุนศึกศักดินาเลยทีเดียว  แต่ประชาชนคนเล็กคนน้อยของเวียดนาม ก็ร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสร้างชาติขึ้นมาใหม่จนเติบใหญ่ในทุกวันนี้   หลังสงครามอินโดจีนเมื่อราว 30 ปีก่อน เวียดนามก็ค่อยๆ เติบโต จนปัจจุบันเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว

            ท่านอาจไม่ทราบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไปในเวียดนามเติบโตอย่างโดดเด่นมาก  คนจีนที่ไม่มาเที่ยวไทยก็ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามและอื่นๆ (https://bit.ly/2S74pkr)  ในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเวียดนามมี 9,796,785 คน ในขณะที่ไทยมี 23,096,545 คน  แสดงว่านักท่องเที่ยวต่างชาติไทยเวียดนามเป็นสัดส่วน 42% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทย  แต่อัตราการเติบโตเป็นแบบก้าวกระโดดเป็นอย่างยิ่ง ปีละ 12% นับตั้งแต่ปี 2542 ที่ผมไปเวียดนามเป็นครั้งแรก จนถึงสิ้นปี 2561 (https://bit.ly/2VlZr4M) ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในช่วงปี 2548-2561 เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 5% เท่านั้น (https://bit.ly/29yKFPT)

            บางคนคิดว่าเวียดนามมีชายฝั่งทะเล (เฉพาะที่ติดกับแผ่นดินใหญ่ ไม่รวมเกาะ) สั้นกว่าไทย เนื่องจากเห็นว่าไทยติดทะเลทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย  แต่แท้ที่จริงแล้ว ไทยมีชายฝั่งทะเล 3,219 กิโลเมตร ในขณะที่เวียดนามมีชายฝั่งทะเลถึง 3,444 กิโลเมตร  เมืองตากอากาศริมทะเลจึงมีมากมาย   ฝรั่งที่ย้ายจากภูเก็ตไปเวียดนามจึงบอกว่าเวียดนามก็มีชายหาดและสตรีที่สวยงามไม่แพ้ไทย  แต่สาวไทยเอาใจเก่งกว่าแน่นอน  อย่างไรก็ตามเวียดนามก็อาจมีปัญหาภัยธรรมชาติเรื่องพายุไต้ฝุ่นพัดมาบ้างเป็นครั้งคราว

            ประเทศไทยมีข้อด้อยสำคัญประการหนึ่งก็คือ ทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ในกรุงเทพมหานคร เมืองต่างๆ ในต่างจังหวัดไม่ว่าจะเป็นเมืองหลักหรือเมืองรองต่างก็ “กินน้ำใต้ศอก” กรุงเทพมหานครแทบทั้งสิ้น ยกเว้นเขตภูมิภาคชายฝั่งทะเลตะวันออก  แต่อิทธิพลของกรุงเทพมหานครก็กำลังแผ่ขยายจนรวมภูมิภาคนี้เข้าไปด้วย เป็นอภิมหานคร หรือ Megalopolis  ซึ่งยิ่งทำให้เมืองเล็กๆ ของไทยยิ่งไม่เติบโต แคระแกรนไปหมด ที่เด่นๆ นอกจากภูมิภาคตะวันออกก็มีเพียงเชียงใหม่และภูเก็ต (https://bit.ly/2AzHZSk) เพราะทุกอย่างไปหล่อเลี้ยงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

            ต่างจากเวียดนาม เวียดนามมีกรุงฮานอยทางด้านเหนือ เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดิน และมีนครโฮจิมินห์ซิตี้ทางด้านใต้ที่เป็นเสมือนเมืองหลวงทางเศรษฐกิจ  และยังมีเมืองอื่นๆ  อีกมากมายที่เติบโตมาก  ท่านทราบหรือไม่ว่าตามข้อมูลของ World Population Review เวียดนามมีเมืองที่มีประชากรตั้งแต่ 150,000 คนขึ้นไปถึง 20 เมือง ในขณะที่ไทยมีเพียง 12 เมือง  ถ้าตัดนนทบุรี ปากเกร็ด พระประแดง สมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นเมืองในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลแล้ว ไทยมีเมืองที่มีประชากรเกิน 150,000 คนเพียง 8 เมืองเท่านั้น เทียบไม่ได้กับเวียดนามเลย

            เมืองต่างๆ ในเวียดนามต่างเติบโตกันขนานใหญ่ทั้งเมืองท่องเที่ยวและเมืองท่าตามชายฝั่งทะเล  ผมไปเยือนตั้งแต่ฮาลองเบย์ ไฮฟอง ฮานอย เว้ ดานัง ฮอยอัน ญาจาง โฮจิมินห์ซิตี้ หวุงเต่า เกิ่นเทอ เมื่อ 20 ปีก่อน กับปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังนี้ก็ว่าได้  เพียงไม่กี่ปีมานี้เวียดนามมีบานาฮิลล์ มีกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลก  ซาปาก็มีกระเช้า ญาจางก็มีกระเช้าลงทะเลที่ยาวที่สุดในช่วงที่ผ่านมา และก็ถูกช่วงชิงไปโดยเกาะฟุก๊วก ซึ่งในช่วงปี 2560-61 นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 72% (https://bit.ly/2PAfk9w)

            เวียดนามเคยมาดูงานการท่องเที่ยวพัทยาเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ตอนนี้การพัฒนาการท่องเที่ยวไทยติดขัดไปหมด กระเช้าอะไรก็สร้างแทบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นภูกระดึง (https://bit.ly/2z5H2Qw) หรืออื่นใดก็สร้างไม่ได้  ผมไปสำรวจเองพบว่าแม้แต่แหล่งท่องเที่ยวหลักของไทย เช่น พัทยา (https://bit.ly/33kAGea) และหัวหิน (https://bit.ly/2ZOt4O4) นักท่องเที่ยวหายไปมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และแย่ลงทุกปีอีกต่างหาก

            ยิ่งตอนนี้จีนไปลงทุนในเวียดนามขนานหนัก ราคาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 50% เขารักษาสมดุลทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้ใครต่อใครไปลงทุนในเวียดนามกันมาก  ได้ผลตอบแทนสูงและเร็วกว่าไทย  FDI ของเวียดนามสูงกว่าหรือแซงไทยแล้วในขณะนี้  ส่วนไทยการเมืองไทยที่ยังไม่นิ่งของไทย ก็อาจเป็นปัจจัยบั่นทอนกำลังของชาติเช่นกัน  แต่เวียดนามก็มีข้อเสียโดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคที่แย่กว่าไทยหลายๆ ขุม ค่าครองชีพก็แพงกว่าไทย ค่าแรงก็พอๆ กับไทยแล้ว การทุจริตก็มีทุกหย่อมหญ้า  ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เคยซบเซาก็ยังฟื้นตัวไม่ทั่วนัก เป็นต้น

            เราต้องศึกษาสิ่งดีๆ จากเพื่อนบ้านมารับใช้ประเทศไทยบ้าง
 

 

 

อ่าน 2,969 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved