Smart Growth & Smart City: วาทกรรมลวงโลก
  AREA แถลง ฉบับที่ 41/2561: วันพุธที่ 24 มกราคม 2561

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

          เดี๋ยวนี้คำว่า Smart City กำลังเฟื่อง ใครไม่พูดถึงคงดูเชยพิลึก ผมก็ได้แต่บอกว่าอย่าบ้าจี้ พร้อมด่าให้สำเหนียกสักนิดว่า อย่าเห็นขี้ฝรั่งหอม นั่นมันแค่วาทกรรม ลองมาฟังผม ดุษฎีบัณฑิตด้านการวางแผนพัฒนาเมือง (ไม่ได้ซื้อมา/ใช่ใช่จ่ายครบจบแน่) อย่างผมสักหน่อยประไร

ที่มาที่ไป: ยังไงกัน

          ถ้าเรา Search คำว่า Smart City ในยุคใหม่ จะมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ IT บ้าง AI บ้าง Big Data บ้าง ปะปนยำๆ ลงไปให้ดูขลัง ให้ดูร่วมสมัย หรือดูเท่ๆ  บ้างก็อาจใส่คำว่าสิ่งแวดล้อม เขียวๆ พลังงานแสงแดด Ecosystem ระบบอัจฉริยะ หรือเรื่องผู้หญิง-คนพิการบ้าง ถ้าเป็นเมืองไทยคงต้องใส่คำว่า 4.0 เข้าไปด้วย เพื่อให้ดูสมกับการเป็นยุคใหม่ ทันโลกยิ่งขึ้น

          คำว่า “Smart Growth” ที่ว่ากันว่าเป็นแนวคิดใหม่ในการผังเมืองมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นเพื่อแก้การวางผังเมืองผิดๆ แบบเดิมจนกระทั่งหากไม่มีรถส่วนตัว ก็เท่ากับพิการ ไม่มีขา เพราะบ้าน ร้านค้า โรงเรียน ฯลฯ แต่ละแห่ง ห่างไกลกัน เดินกันไม่ถึง แต่ไทยเรายังเอาแนวคิดผังเมืองแบบ “พระเจ้าเหา” มาใช้

ว่าด้วย ‘Smart Growth’

          แนวคิดนี้คือการพัฒนาเมืองโดยรวมศูนย์ความเจริญอยู่ภายในเมืองเพื่อป้องกันปัญหาการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไปสู่ชานเมือง (Urban Sprawl) แนวคิดนี้จะมีองค์ประกอบเกี่ยวกับ คุณภาพชีวิตของชุมชน เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ ที่อยู่อาศัยและการคมนาคมขนส่ง อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังได้รับการต่อเติมให้ดูร่วมสมัยด้วยการพูดถึงการประหยัดพลังงาน การแก้ปัญหาโลกร้อนการมีส่วนร่วมของประชาชน

          หลักการ 10 ประการสำคัญของแนวคิดนี้คือ การสร้างโอกาสที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย การสร้างชุมชนที่เดินถึงกันได้ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน การสร้างอัตลักษณ์ของท้องที่ การตัดสินใจพัฒนาที่คาดการณ์ได้เป็นธรรมและคุ้มค่า การใช้ที่ดินแบบผสมผสาน การรักษาสภาพแวดล้อมที่ดี การมีทางเลือกการคมนาคมขนส่งที่หลากหลาย การพัฒนาชุมชนที่มีอยู่แล้ว (ไม่ใช่สร้างชุมชนใหม่) และการออกแบบอาคารที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่หนาแน่นเกินไป

เหล้าเก่าในขวดใหม่

          ทำไมที่สหรัฐอเมริกากำลัง ‘ฮือฮา’ กับแนวคิดนี้ เหตุผลก็คือตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา อเมริกาสร้างแต่บ้านแนวราบกินพื้นที่ออกไปนอกเมืองมากที่สุด ทรัพยากรถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองที่สุด จนใครต่อใครทราบดีว่าในอเมริกา หากใครไม่มีรถ ย่อมเหมือนคนพิการ ไปไหนไม่ได้ เพราะแต่ละที่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า สำนักงาน หรืออื่น ๆ ล้วนแต่ห่างไกลจากบ้านทั้งนั้น แต่อเมริกาก็พัฒนาอย่างสูญเปล่านี้ได้มานานเพราะมีเงินมาก จะบันดาลอะไรก็ทำได้นั่นเอง

          ในระยะหลังมานี้อเมริกาจึงค่อยสำนึกได้ว่านี่เป็นการพัฒนาที่ทำร้ายตัวเองเป็นอย่างมาก จึงเกิดแนวคิด Smart Growth นี้ขึ้น ข้อนี้ไทยและประเทศในเอเชียจึงไม่ต้องตื่นเต้นมากนัก เพราะเมืองไทยเราดีกว่ามาก  ในแง่นี้ขนาดในเวียดนามที่ผมเคยเป็นที่ปรึกษาของกระทรวงการคลังที่นั่นมาระยะหนึ่ง ก็ยังมีละแวกบ้านแบบพึ่งตนเองได้ จะซื้อหาอะไรก็มีอยู่แถวนั้น ไม่ต้องถ่อสังขารไปซื้อไกลถึงใจกลางเมือง ดังนั้นแม้แนวคิดนี้จะเพิ่งได้รับการโฆษณา แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องใหม่เสียทีเดียว ผมเชื่อว่านี่เป็นเพียงการ ‘Import’ วิธีการแบบตะวันออกไป ‘ใส่ตะกร้าล้างน้ำ’ ในอเมริกา แล้ว ‘Export’ ออกมาให้ชาวโลกได้ชื่นชมกันอีกต่อหนึ่ง

เขามุ่งทำเมืองให้แน่นแต่ กทม. มุ่งให้หลวม

          บางคนมักอ้างว่ากรุงเทพมหานครหนาแน่นเหลือเกินเพราะมีความหนาแน่นของประชากรสูงถึง 3,800 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่ประเทศไทยโดยรวมมีความหนาแน่นเพียง 133 คนต่อตารางกิโลเมตร จึงเสนอแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงให้ชะลอการเติบโตของกรุงเทพมหานคร โดยไม่ฉุกคิดว่า สิงคโปร์มีความหนาแน่นของประชากรเกือบ 7,000 คน หรือมากกว่ากรุงเทพมหานครถึงเกือบ 2 เท่า แต่กลับดูโล่งโปร่งสบายกว่า

          เกาะแมนฮัตตันในนครนิวยอร์ก มีประชากร 1,634,795 คน แต่มีขนาดที่ดินเพียง 59.5 ตร.กม. หรือมีความหนาแน่นสูงถึง 27,476 คนต่อตารางกิโลเมตร นครนิวยอร์กโดยรวมมีประชากรถึง 8.3 ล้านคน มีความหนาแน่นของประชากรถึง 10,587 คนต่อตารางกิโลเมตร ดังนั้นแนวคิดที่ตั้งใจทำกรุงเทพมหานครให้โล่งจึงควรได้รับการทบทวนเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นแนวคิดที่จะมุ่งเก็บรักษาที่ดินในเมือง ซึ่งมักเป็นของผู้มีอันจะกินในวันนี้ไว้ (โดยไม่มีระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) และให้ผู้มีรายได้น้อยหรือรายได้ปานกลางจำต้องไปซื้อบ้านอยู่นอกเขตผังเมืองที่ไม่อำนวยให้สร้างอาคารชุดหรือสร้างได้ในความสูงที่จำกัด

          การคิดผิดเพี้ยนของนักผังเมืองไทยกลับทำให้กรุงเทพมหานครในช่วง พ.ศ.2545-2554 มีประชากรลดลง 2% แต่ในเขตปริมณฑลกลับมีประชากรเพิ่มจาก 3.9 ล้านคน ในปี 2545 เป็น 4.7 ล้านคนในปี 2554 หรือ 21% หากในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรมีผู้อยู่อาศัย 3,600 คนตามค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร ประชากร 1.2 ล้านคน ก็เท่ากับไปบุกรุกไร่นาเรือกสวนสีเขียวถึง 333 ตารางกิโลเมตร

ทำไมจึงเป็นไปได้

          ทำไมในสหรัฐอเมริกาทำอะไรก็มักได้ ส่วนหนึ่งก็คือเขามีเงิน ประชากรมีรายได้มากกว่า จึงเก็บภาษีได้มากกว่า และเก็บในสัดส่วนที่มากกว่าไทย ของไทยเรา การเก็บภาษีท้องถิ่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็ยังไม่มี ชุมชนหรือท้องถิ่นก็มีรายได้จำกัด โอกาสที่จะทำอะไรมากจึงจำกัด การนำแนวคิดนี้มาใช้ก็คง ‘เลียนแบบ’ มาได้บางส่วน และทำตามกำลังแบบไหไหม้ฟาง

          ในสหรัฐอเมริกา บ้านทุกหลังต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปีละ 1-2% ของมูลค่าตลาด ไม่ใช่ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ของทางราชการไทย ซึ่งมักจะต่ำกว่าราคาตลาด เพื่อนำเงินเหล่านี้มาใช้พัฒนาท้องถิ่น การนี้ท้องถิ่นก็มีเงินเพียงพอที่จะพัฒนา ลำพังการอาศัยการบริจาคจากภาคเอกชนหรือชุมชน ก็คงได้ทำอะไรเพียงเล็กน้อยแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ หรือ ‘ไฟไหม้ฟาง’ ดังนั้นการหวังให้ประชาคม บริษัทห้างร้าน มูลนิธิ ฯลฯ เข้าช่วยผลักดันแนวคิด ‘Smart Growth’ จึงมีความเป็นไปได้ที่จำกัด

ทำอย่างไรให้สำเร็จ

          แนวคิดการพัฒนาเมืองให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะด้วยวาทกรรมใหม่หรือเก่าใด ๆ นั้น จะเป็นจริงได้ ก็อยู่ที่ผู้บริหาร เช่น นายกเทศมนตรี ผู้นำชุมชน ผู้ว่าราชการ ตลอดจนผู้นำรัฐบาล หาไม่แนวคิดดี ๆ ก็จะเพียง ‘ขึ้นหิ้ง’ หรือไม่ก็แค่อยู่ในตำรา หรืออย่างดีก็ได้รับการดำเนินการแบบ ‘ไฟไหม้ฟาง’ หรือ ‘ผักชีโรยหน้า’ ในที่สุด เราต้องทำให้ผังเมืองเป็นสิ่งที่ชุมชน ท้องถิ่นช่วยกันวาง ไม่ใช่ให้ราชการเช่น กทม. จ้างอาจารย์จากมหาวิทยาลัยหนึ่งวาง/คิดแบบซ้ำๆซากๆ มาร่วม 20 ปีแล้ว

          ถ้าผู้บริหารยอมรับหรือได้รับการปรับทัศนคติ (Mindset) แนวคิดก็จะได้รับการยอมรับ สานต่อและทำให้เป็นจริงขึ้น เราจึงต้องขายความคิดให้กับผู้บริหาร แต่ลำพังผู้บริหารนั้น บางครั้งเวลาฟังให้ได้ศัพท์ยังไม่มี ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องจึงต้องพยายามให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้างด้วย เพื่อให้ช่วยกันผลักดันให้ผู้บริหารได้ตระหนักถึงความสำคัญและปรับทัศนคติต่อแนวคิดใหม่ ๆ ต่อไป

          โดยสรุปแล้ว เราต้องทำเมืองให้หนาแน่น (High Density) แต่ไม่ใช่แออัด (Overcrowdedness) ให้มีการพัฒนาทั้งที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมแนวสูงในเขตใจกลางเมืองโดยเชื่อมต่อด้วยระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ หยุดการเติบโตสู่ชานเมือง ซึ่งยิ่งทำให้สาธารณูปโภคขยายออกรอบนอกอย่างไม่สิ้นสุด และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการวางผังเมืองเอง ไม่ใช่ปล่อยให้พวกอาจารย์ ‘เต่าล้านปี’ ครองงำการวางผังเมืองส่งเดช ซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่า ‘ห่วย’

ดูวิดิโอ fb live คลิกที่ลิงค์นี้: https://goo.gl/WMvoTq

 

อ่าน 4,503 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved