ทางออก "หมู่บ้านป่าแหว่ง" โดยไม่ต้องรื้อให้เสียของ!
  AREA แถลง ฉบับที่ 406/2561: วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            "หมู่บ้านป่าแหว่ง" สร้างด้วยเงินนับพันล้าน จะมารื้อให้เป็นป่า คิดได้ไง ลองนึกดูว่าถ้าสำนึกได้ว่าเป็นเงินภาษีของเราท่าน เราควรหาทางออกอื่นนอกจากรื้อไปทำป่า

            หมู่บ้านนี้อยู่เชิงดอยสุเทพ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่ กว่า 147 ไร่ มีความคืบหน้าไปกว่า ร้อยละ 80 อาคารที่ก่อสร้างประกอบด้วย ที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บ้านพักผู้พิพากษา 38 หลัง บ้านพักผู้บริหาร 7 หลัง รวมบ้านพัก 45 หลัง และ อาคารชุด 13 หลัง ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านบาท รองรับการพักอาศัยของผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการได้ประมาณ 200 คน ที่ดินผืนนี้เป็นที่ราชพัสดุของกระทรวงการคลัง อยู่ในความครอบครองใช้ประโยชน์ของกองทัพบกตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2" (http://bit.ly/2FiCCr7)

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ระบุว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในเขตป่าดังที่เข้าใจเพราะเป็นที่ราชพัสดุตามที่ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้ชี้แจงไว้แล้ว โปรดดูตามแผนที่ ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวน อย่างไรก็ตาม สภาพที่ปรากฏอาจ "ขัดสายตา" เนื่องจากที่ผ่านมาคงไมได้ใช้ประโยชน์ ต้นไม้จึงขึ้นรกชัฏเช่นเดียวกับผืนป่า

 

 

 

 

 

ภาพที่ 1: ที่ดินก่อนการถากถาง ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2556 (google-earth)

 

ภาพที่ 2: ที่ดินที่เริ่มมีการถากถาง ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 (google-earth)

 

ภาพที่ 3: ที่ดินตามสภาพปัจจุบัน ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 (google-earth)

 

ภาพที่ 4: การตรวจสอบที่ดินเบื้องต้นกับเว็บไซต์ของ DSI

 

ภาพที่ 5: จุดที่ตรวจสอบตำแหน่งที่ดินเบื้องต้น

            ผลการตรวจสอบเบื้องต้นกับเว็บไซต์ของ DSI (http://map.dsi.go.th) พบว่า ที่ดินแปลงนี้ไม่ได้อยู่ในแนวเขตป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ถาวร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ใดๆ อย่างไรก็ตามข้อมูลในรายละเอียด อาจต้องตรวจสอบกับทางกรมธนารักษ์ การตรวจสอบเบื้องต้นกับเว็บไซต์ DSI นี้ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปในการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนการซื้อขายที่ดินด้วย อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ การก่อสร้างด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับข้าราชการตุลาการ 200 คน และหากที่ดินแปลงนี้ต้องซื้อหาด้วย ก็คงเป็นเงินอีก 1,000 ล้านบาทโดยประมาณการในเบื้องต้น ก็เท่ากับข้าราชการส่วนภูมิภาคของศาล 200 คน ใช้เงินเพื่อการนี้ถึงคนละ 10 ล้านบาท

            ผลประโยชน์ที่ข้าราชการส่วนภูมิภาคได้รับถึง 10 ล้านบาทต่อคนนี้ นับว่าสูงมาก ถ้านำเงินจำนวนนี้ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ณ ดอกเบี้ย 3.5% ก็เป็นเงินถึงเดือนละเกือบ 30,000 บาท  การนำเงินไปให้เจ้าหน้าที่ส่วนภูมิภาคเป็นค่าบ้านอีกเดือนละเท่านี้นับว่าสูงกว่าเงินเดือนหรือ เป็นการใช้จ่ายเงินที่คุ้มค่าหรือไม่ นี่ยังไม่รวมค่าดูแลอีกต่างหาก  การสร้างด้วยเงินมากมายเพียงนี้สำหรับข้าราชการส่วนภูมิภาคอาจเป็นประเด็นเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ สำหรับส่วนราชการอื่น จึงควรที่จะให้รับข้าราชการในท้องถิ่น เพื่อไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้  ดร.โสภณ เคยเสนอให้เลิกราชการส่วนภูมิภาค (http://bit.ly/2b53LRC) โดยระบุว่า

            ราชการส่วนภูมิภาค หรือก็คือแขนขาของราชการส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำตามท้องถิ่นต่าง ๆ นั้น มีกำลังคนอยู่เป็นจำนวนมากถึง 360,928 คน ตามข้อมูลคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2557 หรือ 17% ของข้าราชการทั้งหมด  แต่ราชการส่วนท้องถิ่น มีกำลังคนเพียง 22% เท่านั้น ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในจังหวัดภูมิภาคหรือในชนบท กลับมีข้าราชการไป "รับใช้ประชาชน" น้อยมาก  ที่น่าสังเกตก็คือราชการส่วนกลาง ที่กระจุกอยู่ในกรุงเทพมหานครมีข้าราชการรวมกันถึง 1,267,609 คนหรือราว 61% ของทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงองคาพยพที่ใหญ่โตมากของระบบราชการที่อาจมีกำลังคนเกินความจำเป็น (นอกจากนั้นข้อมูลข้างต้นยังรวมเฉพาะในส่วนของกำลังคนในฝ่ายพลเรือนเท่านั้น ยังไม่รวมรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนข้าราชการทหารที่มีอีก)

            ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนกำลังคนภาครัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 50% อยู่ที่ราว 2.2 ล้านคน (ณ ปี 2558) ถ้าหากรวมเอาภาระงบบุคลากรรวมทั้งสวัสดิการข้าราชการอื่นๆ อย่างค่ารักษาพยาบาล และบำเหน็จ บำนาญ ก็ร่วม 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ของรัฐบาล. . .เมื่อเทียบกับจีดีพี งบบุคลากรภาครัฐของไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชีย รองจากบาร์เรนและมัลดีฟส์ โดยสัดส่วนงบบุคลากรภาครัฐต่อจีดีพีของไทยอยู่ประมาณ 7% สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย (6%) ฟิลิปปินส์ (5%) หรือสิงคโปร์ (3%) (http://bit.ly/1zgXzfh)

            ในอดีตประเทศไทยมีแต่ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจดทะเบียนต่างๆ ก็ต้องไปติดต่อที่อำเภอ หรือจังหวัด แต่ในปัจจุบันเรามีราชการส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าบทบาทของอำเภอหรือจังหวัดมีน้อยลงมาก ยกเว้นอำนาจจากส่วนกลางที่พยายามจะรักษาไว้เพื่อการควบคุมส่วนท้องถิ่น อันที่จริงควรมีการเลือกตั้งนายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อการกระจายอำนาจ นี่จึงเป็นการปฏิรูประบบราชการที่แท้ และให้อำนาจตกเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง แต่ดูจากแนวโน้มประเทศไทยเราคงเดินไปในแนวทางที่จะให้อำนาจข้าราชการประจำมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมท้องถิ่นให้มีอำนาจจริง

            ในการส่งเสริมส่วนท้องถิ่นนั้น สามารถดำเนินการได้โดยให้อำนาจส่วนท้องถิ่นในการจัดการศึกษา การดูแลความปลอดภัย การปกครองโดยตรง โดยมีข้าราชการเป็นของตนเอง ไม่สังกัดส่วนกลาง ไทยก็จะมีองคาพยพของระบบราชการที่ไม่อุ้ยอ้าย ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการที่ "เทอะทะ" ตัดวงจรเส้นสายต่าง ๆ ไป  ยิ่งกว่านั้นยังควรให้ท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งหรือสรรหา "City Manager" (ผู้จัดการเมือง) "City Appraiser" (ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน) หรือผู้บริหารการศึกษา ผู้จัดการฝ่ายโยธา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา โดยมีข้าราชการประจำคอยปฏิบัติตามนโยบาย ไม่ใช่ให้ข้าราชการประจำที่ควรรับใช้ประชาชนกลับมา "ขี่คอ" และไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้อีกด้วย

            สำหรับผู้พิพากษานั้น (กรณีฟลอริดา: http://bit.ly/2c8Dksc) ในกรณีที่ไม่ใช่ศาลปกครอง แต่เป็นศาลแพ่ง ศาลอาญาผู้พิพากษามาจากการเลือกตั้ง และไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติว่าต้องจบกฎหมายเสียด้วย (แต่ผู้สมัครทุกคนก็จบกฎหมาย)  ทั้งนี้ยกเว้นศาลปกครอง ซึ่งพิจารณาคดีระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ก็จะมาจากการแต่งตั้ง โดยอำนาจของประธานาธิบดี  การมีการเลือกตั้งผู้พิพากษาเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นผู้ที่อยู่ในท้องถิ่น เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ดีกว่าผู้พิพากษาจากส่วนกลางที่ไม่ยึดโยงประชาชนและไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง การเลือกตั้งผู้พิพากษาจึงเหมือนการให้อำนาจ เคารพภูมิปัญญาท้องถิ่น และให้ความสำคัญแก่ท้องถิ่น ผู้นำ ผู้มีอิทธิพลทางความคิดในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ที่สำคัญไม่ต้องจัดหาบ้านพักให้ข้าราชการกลุ่มนี้

            อาจต้องทบทวนนโยบายการสร้างบ้านให้ข้าราชการส่วนภูมิภาคได้แล้ว ควรนำบ้านเหล่านี้ไปให้เอกชนเช่าหรือทำประโยชน์ นำเงินเข้าหลวง  เอาเงินให้ข้าราชการส่วนภูมิภาคไปเช่าบ้านในตลาดเอกชน ยังคุ้มกว่าจะสร้างบ้านแบบนี้ให้ แถมต่อไปยังต้องเสียค่าดูแลอีกมหาศาล  และต่อไปควรยุบราชการส่วนภูมิภาค และรับข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่มีบ้านอยู่ใกล้เคียง ไม่ควรเสียค่าก่อสร้างบ้านมหาศาลเช่านี้  ยิ่งกว่านั้นหากสังเกตให้ดี อาคารส่วนราชการใหม่ๆ มีความสวยอลังการกว่าตึกธนาคารชั้นนำเสียอีก  ไทยไม่ควรเสียเงินปรนเปรอแก่ข้าราชการขนาดนี้เลย

            ถ้าเราประเมินมูลค่า "หมู่บ้านป่าแหว่ง" นี้ ถ้าสิ่งก่อสร้างมีค่า 1,000 ล้านบาท ก็มักต้องสร้างบนที่ดินที่มีมูลค่าเป็น 2 เท่าของสิ่งก่อสร้าง รวมเป็นเงิน 3,000 ล้านบาทนี้ หากนำไปหารายได้ได้ปีละ 3% ตามดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ก็ได้เงินปีละ 90 ล้านบาท ถ้านำไปให้เช่าเป็นบ้านพักผู้สูงวัยให้ชาวต่างประเทศ หรืออื่นๆ และก็ยังจะมีคนดูแลให้อยู่ในสภาพดี เมื่อครบ 50 ปีแล้ว หมดอายุขัยทางเศรษฐกิจแล้ว ค่อยรื้อทิ้งไปทำอย่างอื่น ก็ยังไม่สาย

            การคิดด้วยอวิชชาให้รื้อย้ายด้วยความสะใจโดยไม่นึกว่านี่คือสมบัติของแผ่นดิน ถือเป็นการขาดจิตสำนึกของการรักส่วนรวม ไม่ตระหนักถึงเงินที่ประชาชนต้องเสียภาษีมาก่อสร้างแบบนี้  เราควรนำเงินที่ได้ไปเพิ่มพูนป่าในบริเวณอื่น  ไม่ใช่มองด้วยสายตาสั้นๆ ที่เห็นแต่ต้นไม้  ต้องเห็นป่าในองค์รวม  การมีทรัพยากรเงินเพียงพอ ก็จะช่วยปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า  ในทางตรงกันข้ามการมีทรัพยากรคนและเงินจำกัด ก็เท่ากับเราปล่อยปละละเลยให้ทั้งเจ้าหน้าที่ นายทุนและชาวบ้านที่ละโมบโลภหลงแอบไปตัดไม้ทำลายป่านั่นเอง ที่เกิดขึ้นปีละ 1,000,000 ไร่ ก็จะได้ผลดีกว่าการรื้ออาคารและปลูกป่าใหม่บนพื้นที่ 147 ไร่นี้เป็นไหนๆ

            ท่านทราบหรือไม่ ค่าใช้จ่ายในการปลูกป่า เป็นเงินถึง 10,450 บาทสำหรับระยะเวลา 12 ปี (https://bit.ly/2L4hjLM) ถ้าได้เงิน 90 ล้านบาทจากการให้เช่ามาปลูกป่าบริเวณอื่นจะปลูกได้ถึง 8,612 ไร่ในแต่ละปี หากให้เช่าสัก 50 ปี ก็คงปลูกป่าได้ถึง 430,622 ไร่หรือราว 689 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าจังหวัดนนทบุรีทั้งจังหวัดเลยทีเดียว

            โดยสรุปแล้ว กรณีนี้ไม่ได้เห็นแก่เงิน หรือเอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่ถ้าเรามีเงิน มีทรัพยากรมาใช้เพือ่การปลูกป่า หรือจ้างคนมาป้องปรามการบุกรุกทำลายป่า ยังดีกว่าเอาเงิน 1,000 ล้านของการสร้างพักข้าราชการไปทุบทิ้ง ยังมีคนคอยดูแล  เรารักป่าต้องเห็นความสำคัญของการมีทรัพยากรมาใช้เพื่อการปลูกป่าและป้องกันการบุกรุกทำลายป่า ไม่ควรเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง  ไม่ต้องกลัวว่าข้าราชการตุลาการจะไม่ยอมย้ายหรือย้ายเข้ามาใหม่ในภายหลัง  ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องเคลื่อนไหว จะมีความชอบธรรมกว่าการทุบสมบัติของประชาชน  ถ้าเป็นเงินของเรา เราจะยอมทุบหรือไม่  เราต้องหวงแหนทรัพยากรชาติ จึงจะถูก

            อย่าให้เสียของ และอย่าได้คิดโอเวอร์กับเรื่องป่าไม้จนเกินงาม

 

 

ดูวิดิโอ fb Live คลิก: https://www.facebook.com/dr.sopon4/videos/559063704523446/
อ่าน 6,831 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved