ดร.โสภณ ฟันธง โครงการถนนเลียบเจ้าพระยา. . .ไร้ค่า
  AREA แถลง ฉบับที่ 308/2559: วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2559

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

         ดร.โสภณ ค้านโครงการสร้างถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาโดยตลอด ด้วยมีแนวทางอื่นในการพัฒนามากมาย ทั้งถนนขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่จราจร และกลายเป็นเขื่อนกันน้ำ การสร้างบางส่วนแบบฮ่องกง และการสร้างกระเช้าเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวแทนการสร้างถนนที่ “ไร้ค่า” เช่นที่ทางราชการกำลังทำอยู่
         ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวว่า โครงการถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ในระยะแรกจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2559 มีระยะทาง 14 กิโลเมตร ตั้งแต่สะพานพระราม 7 ถึง สะพานปิ่นเกล้า มูลค่าค่าก่อสร้างประมาณ 14,000 ล้านบาท http://bit.ly/1Oiyd8J หรือเป็นเงินกิโลเมตรละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เงินจำนวนนี้สามารถนำไปสร้าง
         1. สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาได้ราว 3 แห่ง http://goo.gl/kMAjnX
         2. ทางด่วนอุดรรัถยา-อยุธยา ระยะทาง 42 กิโลเมตรได้ครึ่งหนึ่ง http://bit.ly/1Ll1kq9
         3. ถนนไร้ฝุ่นในชนบทได้ 1,750 กิโลเมตร http://goo.gl/D1pLsA

โครงการที่ขาดเหตุผล
         การก่อสร้างนี้นัยว่าเพื่อให้เป็นทางจักรยาน ซึ่งแพงมาก การสร้างถนนนี้ก็เพื่อพวกคหบดีมีเงินมากมายที่ซื้อจักรยานแพง ๆ มาขี่อวดโฉมกันหรืออย่างไร ไปสร้างในเขตชานเมืองโดยซื้อที่ราคาถูก ๆ ทำเลนให้ขี่เล่น ยังคุ้มค่ากว่ามากนัก เช่น ซื้อที่ 100 ไร่ ๆ ละ 2 ล้านบาท รวม 200 ล้านบาท และปรับปรุงเป็นที่ขี่จักรยานอีก 50 ล้านบาท รวม 250 ล้านบาท เอาเงินของชาติมาบริจาคให้เหล่าคนรวยที่ชอบขี่จักรยานเล่น ยังดีกว่ามาผลาญงบประมาณแผ่นดินในลักษณะนี้ นี่คือข้อคิดจาก ดร.โสภณ
         หากเทียบกับสวนลุมพินี ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ดีและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครนั้น พบว่ามีผู้ใช้สอยเพียงวันละ 8,500 คน กรณีสร้างถนนจักรยานที่หวังจะมีนักท่องเที่ยวมาคงจะเป็นฝันที่ไม่เป็นจริง นักท่องเที่ยงคงมาดูอย่างอื่นมากกว่า ดังนั้นอาจประมาณว่ามีคนใช้สอยเพียง 1/3 ของสวนลุมพินี หรือราว 3,000 คน
         หากค่าก่อสร้างเป็นเงิน 14,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นรายได้ปีละ 700 ล้านบาท (จากอัตราดอกเบี้ย 5%) หากมีคนใช้สอยเพียงวันละประมาณ 3,000 คน รวม หรือปีละ 1,095,000 คน ก็เท่ากับรัฐบาลประเคนให้คนเหล่านี้คนละ 639 บาทต่อครั้งที่มาเยือน แจกเงินคนเหล่านี้ไปเข้าฟิตเนส ยังไม่สิ้นเปลืองเท่านั้น แจกเงินผู้สูงอายุยังเป็นเงินแค่ 33 บาทต่อเดือนเท่านั้น นี่จึงเป็นการผลาญชาติโดยแท้
         ที่มักอ้างอิงการพัฒนาริมแม่น้ำฮันในประเทศเกาหลีนั้น ดร.โสภณ กล่าวว่า เป็นการอ้างเท็จโดยแท้ เพราะในกรุงโซล เขาสร้างถนนขนาดใหญ่ข้างละ 3 ช่องทางจราจร รวมสองฝั่ง 12 ช่องทางจราจร ริมแม่น้ำเป็นเสมือนเขื่อนป้องกันน้ำท่วมได้ด้วย และในกรุงโซลยังมีสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ของเขาเฉลี่ยทุกระยะ 1 กิโลเมตร แต่ของไทยยังมีสะพานข้ามแม่น้ำทุกระยะ 2 กิโลเมตร ซึ่งถือว่ามีน้อยไป
         รัฐบาลและ คสช. จึงไม่พึงสร้างโครงการเลียบแม่น้ำเจ้าพระยานี้ และพึงฟังเสียงที่เห็นต่างบ้าง

การเปรียบเทียบจำนวนสะพานระหว่างกรุงโซลกับกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2554

 

แผนที่แสดงสะพานข้ามแม่น้ำในกรุงโซล เกาหลีใต้


ถนนแห่งดาราที่ฮ่องกง
         ผมไปค้นดู ปรากฏว่าบริเวณนั้นชื่อ Avenue of Stars อยู่ฝั่งเกาลูนในบริเวณที่เรียกว่าจิมซาจุ่ย ซึ่งมองเห็นวิวเมืองฮ่องกงได้อย่างเหมาะเจาะสวยงาม ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ ๆ นักท่องเที่ยวต้องแวะมาเยี่ยมเยียนให้ได้เช่นกัน เพราะมีแผ่นป้ายพร้อมรอยฝ่ามือหรือลายเซ็นของดาราชื่อก้องโลกของฮ่องกงถึง 107 คน นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นไม่นาน แม้ผมเองจะไปฮ่องกงหลายครั้งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยได้ย่างกรายไป
         ถนนแห่งดารานี้ถอดแบบมาจาก “Hollywood Walk of Fame” โดยในปี 2546 ที่ผ่านมานี้เองที่ประกาศสร้างถนนแห่งนี้ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งฮ่องกง สมาคมผู้ผลิตภาพยนตร์ฮ่องกง รวมทั้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องอื่น ถนนแห่งดารานี้เปิดตัวเมื่อ 28 เมษายน 2547 แม้ถนนเส้นนี้จะสร้างโดยทุนจากภาคเอกชน แต่ก็ได้มอบให้เป็นสมบัติสาธารณะในการดูแลของรัฐบาลฮ่องกง ถนนเส้นนี้มีความกว้างไม่เกิน 10 เมตร ยาวประมาณ 440 เมตรเท่านั้น บางส่วนก็สร้างล้ำลงไปในน้ำ ที่สำคัญยังมีรูปปั้นสูง 2.5 เมตรของ “บรูซลี” ที่สร้างเมื่อปี 2548 ตั้งโดดเด่นอยู่ด้วย
         นักท่องเที่ยวนิยมไปเดินเล่น ดูลายฝ่ามือของดาราที่ตนชื่นชอบ (แต่ส่วนมากจะมีแต่แผ่นป้ายชื่อ เพราะหลายคนสิ้นชื่อไปแล้ว) ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ จุดโดดเด่นก็คือการไปเดินเล่นถ่ายภาพกับวิวสวย ๆ ในฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นเกาะฮ่องกง ซึ่งสามารถไปเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งในเวลาค่ำคืน ยังมีการแสดงแสงสีเสียงให้เห็นถึงฝั่งฮ่องกงอีกด้วย

ดูแบบอย่างนครโฮจิมินห์ด้วย
         กรณีถนนเลียบแม่น้ำขนาดใหญ่ มีตัวอย่างที่ดีที่เห็นได้ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ที่มีการรื้อสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำทั้งหมด แล้วสร้างถนนเพื่อเพิ่มที่การจราจรริมสองฝั่งแม่น้ำ ที่นครโฮจิมินห์ เขาก็เวนคืนที่ดินริมแม่น้ำ ริมคลองใหญ่ของเขา สร้างถนนเลียบแม่น้ำแล้วเช่นกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีผู้คนอาศัยอยู่ริมน้ำเช่นเดียวกับประเทศไทย

ถนนเลียบแม่น้ำที่ควรมี
         ถ้าจะสร้างถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาจริง ๆ ที่ควรทำอย่างเบ็ดเสร็จยั่งยืนและถาวร ก็คือ
         1. ให้สร้างถนนขนาด 6 ช่องทางจราจร 2 ฝั่งแม่น้ำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ถนนให้กรุงเทพมหานครให้มากขึ้น เพราะโครงการที่เสนอ ไม่ได้แก้ปัญหาการจราจรอย่างยั่งยืน
         2. การสร้างเป็นจุดชมวิวต่าง ๆ เป็นแค่ “น้ำจิ้ม” ควรทำเฉพาะจุดแบบฮ่องกงที่เสนอไว้ข้างต้น อย่าได้เอางบประมาณไป “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” กับโครงการ “ผักชีโรยหน้า” เช่นนี้
         3. ถนนนี้จะเป็นเสมือนเขื่อนป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืนต่อไป แต่หากผ่านโบราณสถานสำคัญ ก็อาจต้องลงทุนให้มุดลงใต้ดินในบางช่วง
         4. ในการก่อสร้างจริง จะต้องรื้ออาคารทั้งหมดริมแม่น้ำออกออกเพื่อกันพื้นที่สร้างถนน ซึ่งต้องเวนคืน โดยการเวนคืน ควรจ่ายค่าทดแทนให้เหมาะสม และสำหรับผู้ที่ต้องการอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก็อาจก่อสร้างเป็นอาคารชุดเพื่อให้ไม่กระทบต่อเดินทางไปทำงานหรือการเดินทางไปสถานศึกษาของลูกหลาน
         5. ถือโอกาสสร้างความเท่าเทียมกันในหมู่ชนคนไทย ถ้าต้องเวนคืน คนรวย คนจน ทุกคนก็ต้องถูกเวนคืนเสมอหน้ากัน (แต่ต้องจ่ายค่าทดแทนให้สมน้ำสมเนื้อ) ถ้าสร้างบรรยากาศเช่นนี้ได้ จะเท่ากับเป็นการสร้างความปรองดองแห่งชาติ เพราะ "ยุติธรรมมี สามัคคีจึงเกิด" นั่นเอง
อย่าลืมเพิ่มสะพานข้ามแม่น้ำ
         อย่างกรุงโซลซึ่งเป็นเมือง ‘อกแตก’ ตั้งอยู่ 2 ฝั่งแม่น้ำเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร ก็มีสะพานข้ามแม่น้ำถึง 30 สะพาน ห่างกันทุก 2 กิโลเมตรโดยเฉลี่ย ยิ่งถ้าเป็นในย่านใจกลางเมือง ยิ่งมีความถี่ในการสร้างสะพานประมาณทุก 1 กิโลเมตร ในขณะที่กรุงเทพมหานคร มีสะพานตั้งแต่ช่วงวงแหวนรอบนอกด้านเหนือถึงวงแหวนรอบนอกด้านใต้เพียง 20 สะพาน ถือว่าระยะห่างเฉลี่ยระหว่างสะพานคือ 4.32 กิโลเมตร ในเขตใจกลางเมืองตั้งแต่สะพานพระราม 6 ถึงสะพานภูมิพล 1 มีเพียง 12 สะพาน โดยมีระยะห่างของแต่ละสะพานถึง 1.9 กิโลเมตรหรือเกือบ 2 กิโลเมตร
         การมีสะพานน้อยทำให้ความเจริญกระจายออกไปในแนวราบโดยเฉพาะฝั่งตะวันออก สังเกตได้ว่าราคาทาวน์เฮาส์ ระดับไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ยังมีอยู่บริเวณถนนประชาอุทิศ ที่ตั้งอยู่เพียงข้ามฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่หากเป็นในฝั่งตะวันออก อาจต้องไปหาซื้อไกลถึงมีนบุรี ดังนั้นการมีสะพานข้ามแม่น้ำมากขึ้น ทำให้โอกาสที่ความเจริญจะกระจายไปในเขตใจกลางเมืองด้านตะวันตกก็จะมีมากขึ้น การพัฒนาก็จะหนาแน่นในเขตเมืองชั้นใน ไม่แผ่ไปในแนวราบมากนัก เปิดโอกาสให้ ‘ชาวกรุงธนฯ’ ได้เดินทางสะดวกและถือเป็นการเปิดช่องทางและทำเลในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น การก่อสร้างสะพานยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง และง่ายกว่าการสร้างทางด่วนหรือรถไฟฟ้า

รูปที่ 1 แผนที่ๆ ตั้งของจิมซาจุ่ย

 

รูปที่ 2 จิมซาจุ่ยกับถนนแห่งดารา

 

รูปที่ 3 ภูมิทัศน์ของย่านจิมซาจุ่ย

 

รูปที่ 4 ถนนแห่งดารา ทำง่าย ๆ ไทยก็ทำได้

 

รูปที่ 5 ถนนเลียบแม่น้ำฮันแห่งกรุงโซล

 

รูปที่ 6 ถนนเลียบแม่น้ำแห่งนครโฮจิมินห์

สร้างกระเช้ายังดีกว่าสร้างถนนเลียบแม่น้ำ
         จากการดูงานของ ดร.โสภณ ณ กรุงลอนดอน ได้ข้อคิดที่ควรดำเนินการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ตามที่ทางรัฐบาลประยุทธ์ต้องการ โดยไม่ต้องทำถนนแบบทางคนวิ่ง/เดินให้เปลืองงบประมาณนับหมื่นล้าน ด้วยการสร้างกระเช้าแบบในกรุงลอนดอน โดยที่กรุงลอนมีโครงการ the Emirates Air Line (Cablecar) (http://bit.ly/1N77JYJ) ข้ามแม่น้ำเทมส์ ให้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวใหม่ของกรุงลอนดอน
         กระเช้านี้เปิดตัวในวันที่ 28 มิถุนายน 2555 ดำเนินการโดยทางการขนส่งลอนดอน แต่ดูเหมือนจะใช้สำหรับนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ แต่ก็มีคนทำงานท้องถิ่นใช้เดินทางข้ามฝั่งแม่น้ำเทมส์เหมือนกัน ด้วยความสูงประมาณ 100 เมตร ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงลอนดอนได้หลายมุมมอง ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ระยะเวลาในการเดินทางคือ 10 นาที หรือไปกลับประมาณ 20 นาที
         งบประมาณในการก่อสร้างคือ 60 ล้านปอนด์หรือ (3,000 ล้านบาท) โดยการนี้ 60% ของงบประมาณมาจากการสนับสนุนของสายการบิน Emirates ทำให้ต้นทุนลดลง โดยสายการบินนี้ได้สิทธิในการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการบินของสายการบินนี้เป็นเวลา 10 ปี สำหรับความยาวของกระเช้าไฟฟ้านี้ มีระยะทางประมาณ 1.1 กิโลเมตร มีเสาสูงปักเพื่อการทำกระเช้า 3 เสา สามารถมีผู้โดยสารประมาณ 2,500 คนต่อชั่วโมง รถเข็นคนพิการและจักรยานก็สามารถขึ้นกระเช้าที่จุคนได้ 8 คนได้
         สำหรับค่าโดยสารก็ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ประมาณ 4.4 ปอนด์ แต่หากเดินทางบ่อย ๆ ก็มีส่วนลด สำหรับนักท่องเที่ยว เช่นที่ ดร.โสภณ ลองใช้บริการดู ยังมีพ่วงกับการชมนิทรรศการ ไปกลับเป็น 9 ปอนด์ เป็นต้น ทั้งนี้มีคนเดินทางท่องเที่ยวด้วยกระเช้าไฟฟ้านี้นับล้านๆ คนแล้ว ตอนสร้างก็มีการโจมตีจากพวกเอ็นจีโอไปต่าง ๆ นานา แต่รัฐบาลอังกฤษเข้มแข็ง ไม่ได้เชื่อตามความกลัวที่พวกเอ็นจีโอ สร้างภาพไว้ จนสามารถสร้างสำเร็จได้
         การก่อสร้างกระเช้านี้ น่าจะสามารถนำมาใช้ในกรณีประเทศไทย โดยอาจสร้างตั้งช่วงสะพานสาทร ถึงสะพานพุทธ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถชมทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน และไม่ควรทีรัฐจะลงทุนเอง อาจให้เอกชนรายหนึ่งหรือหลายรายเป็นผู้ลงทุน หรืออาจให้เอกชนเป็นผู้สนับสนุนโครงการ เช่น สายการบิน หรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ อาจทำให้รัฐไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินใด ๆ และจะเป็นโครงการที่มีความเป็นไปได้ทางการเงินอีกด้วย

 


         โดยสรุปแล้วจึงอาจกล่าวได้ว่าการสร้างถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาของทางราชการ เป็นการพัฒนาที่ไร้ค่า มีตัวอย่างดี ๆ ให้ดูอีกมากมาย อย่าเพิ่งตัดสินใจสร้างส่งเดชเลย

อ่าน 3,445 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved