อย่าไปเสียเงินกับพวกไลฟ์โค้ช
  AREA แถลง ฉบับที่ 643/2563: วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ในสมัยนี้มีไลฟ์โค้ชมากมาย ดร.โสภณฟังธง อย่าไปเสียเงินกับคนพวกนี้ พวกนี้ทำธุรกิจเองไม่เป็น ไม่รวย แต่รวยจากการสอนปาวๆ อย่าลืมคำสอน “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน”

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ให้ความเห็นต่อพวกไลฟ์โค้ชว่าพวกนี้ไปเรียนมาจากนายแอนโทนี รอบบินส์ ไลฟ์โค้ชชื่อดังแห่งยุค ซึ่งเดี๋ยวนี้อาจจะใกล้ตกยุคแล้ว หันมาสอนเรื่องการเงินบ้างแบบคล้าย “พ่อรวยสอนลูก” แล้ว และต่อไปก็คงมีไลฟ์โค้ชคนอื่นมาแทนที่นายแอนโทนีอีกเช่นกัน

            ที่ต้องเปิดโปงเพราะพวกไลฟ์โค้ชพวกนี้ รวยจากการสอน อย่างนายแอนโทนี รอบบินส์นั้น มีทรัพย์สินมูลค่ารวม 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐหรือเกือบ 20,000 ล้านบาท มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ซึ่งล้วนได้มาจากการพูด การสอน ไม่ใช่ไปทำธุรกิจอะไรจนร่ำรวยเป็นตัวอย่าง  พวกไลฟ์โค้ชในไทยเองก็เช่นกัน เปิดร้านกาแฟก็ยังอาจจะเจ๊งได้เพราะไม่รู้จักวิเคราะห์ตลาด ไม่รู้จักค่าความเสี่ยง ไม่รู้การวางแผน ฯลฯ แต่สอนคนอื่นปาวๆ ไปวันๆ

            ไลฟ์โค้ชพวกนี้ก็คล้ายนักบวชหน้าละอ่อนบางคน เขียนหนังสือ สอนธรรมะเรื่องความสำเร็จในการครองเรือน ทั้งที่ตัวเองบวชมาแต่เด็ก ไม่รู้จัก ไม่มีประสบการณ์ครองเรือนใดๆ เลย ได้แต่สอนเอาตามตำรา แต่ดัดแปลง  ตกแต่งคำพูดให้ดูหรูๆ มีข้อคิด ก็ขายหนังสือได้ หรือมีวาทศิลป์ที่ดีก็สามารถครองใจคนฟังได้  แต่ประเด็นสำคัญก็คือคนเหล่านี้ไม่เคยประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัวเลย  เราควรฟังเรื่องชีวิตครอบครัวจากผู้ประสบความสำเร็จหรือนักบวช หรือโค้ชกันแน่

            คนที่ไปเรียนมาจากนายแอนโทนี ก็ได้รับความรู้มาสอน สอนต่อๆ กันไป มีอาชีพทำหากินกับการปลุกเร้า บ้างก็ใช้ไสยเวทย์เข้าช่วย แต่กลับบอกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ยังตามหลังความเชื่อ พลังอะไรต่างๆ นานา  คนที่ไปเรียนมาแล้วก็มาสอนคนในประเทศไทย สอนต่อๆ กันไป บางคนก็มาดัดแปลง บอกว่าความรู้เหล่านี้มาจากตนเอง หรืออาจดูคล้าย “สวรรค์ให้มา” ไม่ได้มีใครสอน ไม่มีอาจารย์อีกต่างหาก เข้าทำนอง “ตรัสรู้เอง”

            ไลฟ์โค้ชมักชอบเรียกหรือตั้งตนเป็น “อาจารย์” “ครู” เห็นคนมาอบรมเป็น “ลูกศิษย์” ตนเองเป็นผู้ให้ เป็นคนที่เหนือกว่า ซึ่งแตกต่างจากปรัชญาครูที่แท้ที่มีสถานะเป็นแค่ “เรือจ้าง”  ผมเองก็เป็นอาจารย์ สอนในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปริญญาตรียันปริญญาเอก สอนทั้งในและต่างประเทศ ทั่วอาเซียน ญี่ปุ่น ยุโรป อาฟริกา มีโรงเรียนเป็นของตนเอง เป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังหลายประเทศ ทำงานองค์การสหประชาชาติหลายแห่ง ก็ไม่เคยเรียกตัวเองว่า “อาจารย์”

            แต่ใครจะเรียกตนว่า “อาจารย์” ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว เว้นแต่เพื่อการ “ข่ม” กัน เช่น การเรียกตัวเองว่า “ดร.โสภณ” ก็อาจทำให้คนเกรงใจ แม้คนอาจจะหมั่นไส้ในที หรือถ้ามีคนเรียก “คุณโสภณ” เราก็เรียกตัวเองกลับว่า “ครับ ผม อาจารย์โสภณ” หรือ “ผม ดร.โสภณ ครับ” ก็อาจหยุดยั้งการคุกคามจากฝ่ายตรงข้ามได้บ้าง  แต่การยกตนแบบนี้เป็น “ดรามา” ที่ครูหรือ “เรือจ้าง” ที่แท้ไม่ควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง

            วิธีสอนของพวกนี้ก็คล้ายๆ กันแบบสะกดจิตตนเองให้มองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อปลุกกิเลสให้ลุกโชน  การมองด้านดีด้านเดียวก็เป็นอันตรายผิดพลาดร้ายแรงได้ เพราะไม่ได้เดินสายกลางนั่นเองในสังคมยังมีคนอ่อนแอทางจิตมากมาย โดยเฉพาะพวกรวยๆ แต่ไม่มีความสุขก็มาก จึงต้องเข้าหาจิตแพทย์กันมากมาย  หลายคนหาทางออกกับตนเองไม่เจอ ไม่พบธรรมะว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” ไม่รู้จักอริยสัจอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย (สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์) นิโรธ (ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์) และมรรค (แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์)

            ในชีวิตจริง คนที่มาอบรมต่างมีอาชีพเป็นของตนเอง เอาความรู้ที่เรียนจากโค้ชไปใช้ ก็ใช่จะประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ จึงลุ่มๆ ดอนๆ หลังอบรมเหมือนเดิม  คนที่ประสบความสำเร็จได้ ก็เหมือนกับการไปไหว้ “ไอ้ไข่” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ท่านที่ได้โชคลาภจนมาแก้บนนั้นอาจมีเพียง 1-3%  เช่น อาจเห็นคนแห่ไปกราบไหว้บนบานนับหมื่นคนต่อวัน แต่มีคนมา “จุดประทัด” แก้บนนับร้อยคนเท่านั้นนั่นเอง  แต่พวกที่มานับร้อยนี้สร้างกระแสให้ดูเหมือนว่ามีมากมาย คนก็แห่หลงเชื่อตามๆ กันไป  นี่เท่ากับเป็นความศรัทธาอย่างมืดบอด ไม่เข้าหลักคำสอนของศาสดาเลย

            อย่างไรก็ตามก็อาจมีคนประสบความสำเร็จจนสามารถกลายเป็นไลฟ์โค้ชได้อีกเช่นกัน กรณีนี้อาจมีราว 0.01% โดยประมาณก็ว่าได้ เช่นมีคนมาอบรม 10,000 คน อาจมีคนที่กลายเป็นไลฟ์โค้ชเลียนแบบสัก 1 คน  ถ้าสอนสัก 100,000 คน ก็อาจผลิตไลฟ์โค้ชได้ 10 คน เป็นต้น  อาจารย์หรือไลฟ์โค้ชบางคนอาจกลับกลุ้มใจที่ทำไม “ศิษย์” ของตนจึงมีชื่อเสียงมากกว่าตน เรื่องนี้เป็นเพราะการรู้จักใช้ Social Media เป็นหลัก ไม่ได้อยู่ที่หลักคำสอนที่ “เจ๋ง” กว่าแต่อย่างไร

            การสอนหรือการเป็นโค้ชที่แท้ เราต้องสอน

  1. ให้คน “ตาสว่าง” เป็นการสร้างปัญญาที่แท้ ไม่ใช่สอนให้คนยิ่งงมงาย
  2. ให้คนพึ่งตนเองได้ ไม่ใช่มาพึ่งไลฟ์โค้ช
  3. ให้เกิดการพัฒนาในทำนองคลื่นลูกหลังต้องไล่ทันคลื่นลูกหน้า สังคมจะได้เจริญ

            สังคมควรใช้สติสักนิด ใช้หลักคิดเรื่องอริสัจ 4 ให้ดี และศึกษาคำสอนของศาสดาเรื่อง “คฤหัสถ์ 4” หรือความสุขของผู้ครองเรือน 4 อย่าง เรื่องคาถา “หัวใจมหาเศรษฐี” ซึ่งเป็นหลักธรรมที่จะอำนวยประโยชน์สุขในขั้นต้นให้คนทั่วไป และเรื่องปาปณิกธรรม 3 (ปาปณิกังคะ หลักพ่อค้า, องค์คุณของพ่อค้า) เรื่องบุญกริยาวัตถุ 10 เป็นต้น ลองไปหาดูและปฏิบัติให้ได้ รับรองรวย

            อย่าเชื่อไลฟ์โค้ช ลวงเงินในกระเป๋าเรา เรายิ่งจนๆ อยู่ เอาเงินไปต่อยอดดีกว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

 

อย่าไปเสียเงินกับพวกไลฟ์โค้ช
https://youtu.be/VWLT9gVxjP4​

 

อ่าน 24,023 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved