กะเหรี่ยงบางกลอย เลิกเอาเปรียบสังคมได้แล้ว
  AREA แถลง ฉบับที่ 159/2564: วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ข้อเรียกร้องของชาวกระเหรี่ยงที่ประสงค์จะทำไร่เลื่อนลอย 36 ครอบครัวๆ ละประมาณ 150 ไร่ต่อปี (รวม 5,400 ไร่ และต้องหมุนเวียน กลับมาทำกินพื้นที่เดิมทุกๆ 10 ปี เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เท่ากับเป็นการสร้างกฎหมู่โดยอภิสิทธิชนส่วนน้อย และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่น  ปกติชาวบ้านทั่วไปได้ที่ดินครอบครัวละประมาณ 15 ไร่เท่านั้น ที่ดินนั้นเป็นของประชาชนทั่วไปทุกคนโดย ไม่ใช่ของใครที่อยู่ใกล้ทรัพยากรแล้วมาอ้างเป็นของตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  ที่ผ่านมาคนเหล่านี้เอาเปรียบสังคมมามากพอแล้ว ถือว่าได้กำไรชีวิตไปแล้ว

            เร็วๆ นี้มีข่าว “ไม่จบ!กะเหรี่ยงบางกลอย ขอผืนป่าทำไร่หมุนเวียน10ปี” ว่า “ยังไม่ยุติ!! ยุทธการทวงคืนผืนป่าบางกลอยบนเจรจารอบ 2 พบชาวกะเหรี่ยงขึ้นไปสมทบกลุ่ม "นอแอ๊ะมิมิ" 59 คน ขอพื้นที่ 36 ครอบครัวทำไร่หมุนเวียน 10 ปี ส่งตัวแทนเปิดโต๊ะเจรจา 25 ก.พ.อีกครั้ง สลดพบป่าถูกทำลายกลายเป็นเขาหัวโล้น. . . ยุทธการทวงคืนผืนป่าบางกลอยบนใจแผ่นดิน. . .กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช. . .พร้อมผู้ใหญ่บ้านบางกลอยเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ ไปยังบริเวณพื้นที่บ้านใจแผ่นดิน เพื่อเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มชาวกะเหรี่ยง นำโดยนายนอแอ๊ะ มีมิ ลูกชาย ปู่คออี้ มีมิ มีคณะสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์. . .นายนอแอ๊ะ ยืนยันว่า จะไม่ยอมลงไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ด้านล่าง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ต้องการเจรจา ให้ขึ้นไปเจรจาที่ในป่าพื้นที่ใจแผ่นดินเท่านั้นพร้อมยืนยันว่าจะไม่อพยพลงมาพื้นที่ด้านล่างโดยเด็ดขาด”  (https://bit.ly/3qTswEB)

            “นายประเสริฐหนึ่งในตัวแทนชาวบ้าน ยืนยันเช่นเดียวกันว่าพวกเขามีสิทธิ์ ที่จะกลับขึ้นไปทำกินบนพื้นที่เดิมของบรรพบุรุษ และการทำกินก็อยู่ในไร่เลื่อนลอยเดิม ไม่ใช่การเปิดป่าใหม่ นอกจากนั้นยังเสนอเงื่อนไขว่าพวกเขา 36 ครอบครัว ต้องการทำไร่หมุนเวียน ครอบครัวละประมาณ 150 ไร่ต่อปี และต้องหมุนเวียน กลับมาทำกินพื้นที่เดิมทุกๆ10 ปี. . .เจ้าหน้าที่ ที่ร่วมเจรจาจึงแย้งว่าถ้าทำตามความต้องการ 36 ครอบครัวจริงจะใช้พื้นที่สำหรับการทำไร่หมุนเวียนบนป่าแก่งกระจาน เนื้อที่มากกว่า 5,400 ไร่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยอมรับว่า ไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะถ้าทำได้ ชาวบ้านคนอื่นก็จะเรียกร้องขอขึ้นมาทำกินแบบเดียวกัน แต่ถ้าหาวิธีการอื่น ด้วยการแก้ปัญหาความเดือดร้อนในเรื่องที่ทำกินที่อยู่อาศัย พร้อมจะดำเนินการหาทางแก้ไขให้ โดยเร่งด่วน

            “หลังจากสื่อมวลชนได้ดูพื้นที่จากเฮลิคอปเตอร์พบว่าพื้นที่ป่าแก่งกระจานถูกบุกรุกแผ้วถางมากเกือบ 20 จุด เป็นบริเวณกว้าง เป็นภาพที่แสนจะหดหู่ใจที่ผืนป่าที่กำลังจะเป็นมรดกโลก ต้องถูกทำลายอย่างมากมายเช่นนี้ ส่วนการพูดคุยเจรจาครั้งแรกมีชาวกะเหรี่ยงยินยอมเต็มใจที่ออกจากป่า มาแล้วจำนวนหนึ่งโดยเจ้าหน้าที่มิได้มีการใช้กำลัง หรือข่มขู่แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือยกแบกสิ่งของเครื่องใช้ให้ทุกคน ในการเดินทางออกจากป่า โดยเฮลิคอปเตอร์”

            ในกรณีนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านที่ดินให้ความเห็นว่าข้อเรียกร้องของชาวกระเหรี่ยงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ “ทำไร่หมุนเวียน ครอบครัวละประมาณ 150 ไร่ต่อปี (รวม 5,400 ไร่สำหรับ 36 ครอบครัว) และต้องหมุนเวียน กลับมาทำกินพื้นที่เดิมทุกๆ 10 ปี” เท่ากับเป็นการสร้างกฎหมู่โดยอภิสิทธิชนส่วนน้อย และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่น

            ดร.โสภณเห็นว่าชาวบ้านพวกนี้ไม่มีสิทธิจะมาอ้างว่าตนเองทำไร่เลื่อนลอยมาแต่บรรพบุรุษ  ปกติชาวบ้านทั่วไปได้ที่ดินครอบครัวละประมาณ 15 ไร่ แต่กรณีนี้จะให้กันถึง 150 ไร่ คงเป็นไปไม่ได้  สิ่งที่คนเหล่านี้พึงทราบก็คือ ที่ดินนั้นเป็นของประชาชนทั่วไปทุกคนโดย ไม่ใช่ของใครที่อยู่ใกล้ทรัพยากรแล้วมาอ้างเป็นของตนเองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  การตัดไม้ทำลายป่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย  ในทุกวันนี้ที่ทรัพยากรมีจำกัด เราจะยอมให้ใครอ้างสิทธิของตนเองไม่ได้  ที่ผ่านมาคนเหล่านี้เอาเปรียบสังคมมามากพอแล้ว ถือว่าได้กำไรชีวิตไปแล้ว  สมควรที่จะหยุดได้แล้ว

             อย่างกรณีเขาใหญ่ ก็เคยมีประชาชนอยู่อาศัยบนเขาใหญ่มาก่อน แต่เมื่อต้องการอนุรักษ์ ก็ต้องเชิญชาวบ้านลงมาจากเขาเช่นกัน  สมัยนั้นไม่ใช่มีเพียงไม่กี่หลังเช่นที่บางกลอย แต่มีเป็นตำบล ชื่อตำบลเขาใหญ่เลย (https://cutt.ly/ZlYjtQ7) จนสุดท้ายราชการสั่งยุบตำบลแห่งนี้ ลองคิดกันง่ายๆ ว่าถ้าวันนี้ยังมีชาวบ้านอยู่บนเขาใหญ่ ป่านนี้ชุมชนคงบุกรุกจนหมดสภาพป่าเขาไปแล้ว  การเอาชาวบ้านลงจากเขาใหญ่จึงเป็นความคิดที่ถูกต้องที่สุด เช่นเดียวกับการนำชาวกระเหรี่ยงบางกลอย ลงมาจากเขาให้ได้ หาไม่ธรรมชาติก็คงวิบัติหมดเป็นแน่

            ดร.โสภณเสนอว่า

            1.  ต้อง “ลากคอ” คนผิดกฎหมายลงมาจากป่าเขาโดยพลัน อย่าให้ใครถือโอกาสทำลายทรัพยากรของชาติ ทำให้ประเทศชาติโดยรวมเสียหาย

            2. ต้องหาทางในการหางานที่เหมาะสมให้ทำ หรือจัดที่ดินที่มีคุณภาพให้ทำการเกษตร ไม่ใช่ให้ทำไร่เลื่อนลอย

            3. ถ้าไม่มีงานทำเช่นในช่วงเกิดโควิด-19 ก็ต้องมีเงินชดเชยให้ แต่จะให้ใครไปทำลายทรัพยากรตามความเคยชินแต่เดิมคงไม่ได้

            อย่าให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย อย่าให้ใครแสร้งใช้ความน่ารัก น่าสงสารของคน สัตว์ สิ่งของมาบิดเบือนความจริงเป็นอันขาด

 

อ่าน 4,424 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved