ว่าด้วยชาติก่อน ชาตินี้และชาติหน้า
  AREA แถลง ฉบับที่ 621/2565: วันอังคารที่ 30 สิงหาคม 2565

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ว่าด้วยชาติก่อน ชาตินี้และชาติหน้า มีจริงหรือไม่ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (area.co.th) มาร่วมแสดงความคิดเห็นในกรณีนี้ และพอดีมีผู้มาร่วมถกทาง Messenger จึงขออนุญาตนำบทสนทนามานำเสนอ ณ ที่นี้

 

            FC: สวัสดีครับ ผมดูรายการของท่านในเฟสบุ๊คบ่อยๆครับ มีครั้งหนึ่งท่านพูดถึง"ภพชาติหน้า กับภพชาติที่ผ่านมา" มีจริงหรือไม่ ด้วยความปรารถนาดี ผมขอให้ท่านได้ไปปฏิบัติสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ตามคำสั่งสอนในพระไตรปิฎก ให้กระจ่างแล้วท่านจักทราบว่า"ชาติที่แล้ว กับ ชาติหน้า" มีจริงหรือไม่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องกระทำด้วยตนเอง และรู้ได้เฉพาะตน เรื่องที่ลี้ลับมองไม่เห็น พระพุทธเจ้าไม่ให้พูดออกมา ถ้าเป็นพระก็ปาราชิก เพราะฉะนั้นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติได้ในระดับใด ท่านก็จะรู้ในหมู่ของท่านเอง ผมขอหยิบยกให้ท่านคิดเฉพาะบางส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เช่น พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็จะเปิดโลกให้มนุษย์ นรก สวรรค์ เห็นกันในสามไตรโลกนาถ และอีกเหตุผลหนึ่งที่เรามองเห็นในโลกมนุษย์ นั่นก็คือ สัตว์เดรัจฉาน กับ มนุษย์ มีสังขารที่ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟเหมือนกัน มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเหมือนกัน มีพ่อมีแม่เหมือนกัน มีสมองคิดเหมือนกัน เรียนรู้ได้เหมือนกัน แต่สัตว์เดรัจฉานไม่มีความสามารถพัฒนาได้แบบมนุษย์ และไม่สามารถปฏิบัติธรรมะได้เหมือนมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นที่จะปฏิบัติธรรมะให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และศาสนาพุทธคือศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สอนด้วยเหตุผล จึงขอให้ท่านดร.โสภณ พิจารณาทบทวนเรื่องภพชาติให้ท่องเท้ แล้วท่านค่อยวินิจฉัยใหม่ได้ครับ สิ่งใดที่ทำให้ท่านระคายเคื่อง ก็ขอโทษมา ณ ที่นี้ และหวังว่าท่านคงอภัย สวัสดีครับ

 

            ดร.โสภณ ขอบพระคุณครับ ยินดีรับฟัง ไม่ถือโกรธครับผม นับเป็นความเมตตาของท่านเป็นอย่างยิ่ง  ที่ว่าฝึกจิตถึงระดับหนึ่งจะรู้ว่าสวรรค์ นรกมีจริงนั้น อาจเป็นแค่การสะกดจิตตนเอง หรือมโนไปก็ได้นะครับ ต้องสามารถพิสูจน์ให้คนทั่วไปเห็นจึงจะเชื่อได้ครับ ไม่ใช่เชื่อแบบในหมู่คณะหรือเปล่าครับท่าน

            ส่วนกรณีพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากสวรรค์ ก็อาจเป็นเรื่องแต่งในพระไตรปิฎกที่อาจถูกบิดเบือนตามยุคสมัย แล้วพระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปนรกไหมครับ สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมือทันสมัยพระองค์จึงเอาสิ่งรอบตัวเรื่องความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มาอธิบายให้ง่ายสำหรับปุถุชนหรือไม่ครับ

            แปลกนะครับพวกนาค มีฤทธิ์แปลงเป็นคนได้ (ถ้ามีจริง) แต่ทำไมปฏิบัติธรรมไม่ได้ ท่านพออธิบายได้ไหมครับ

            ด้วยความเคารพครับผม

 

            FC: ผมก็จะอธิบายตามที่พระสงฆ์เคยเล่าให้ฟังนะครับ กล่าวคือ สมัยพระพุทธเจ้า นาคเลื่อมใสในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างมาก จึงมีจิตศรัทธาอยากจะบวช จึงแปลงกายเพื่อเตรียมบวชพร้อมกับมนุษย์ ด้วยญาณของพระพุทธเจ้าทรงรู้ว่า"นาคเป็นสัตว์เดรัจฉาน มิใช่มนุษย์" จึงบวชให้มิได้ ครับ

            การทำสมาธิมีหลายระดับครับ คือ มีโสดาบัน มีสกิทาคามี มีอนาคามี และพระอรหันต์ ที่จะรู้นรกสวรรค์ได้ จะต้องถึงระดับพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ครับ ถ้าท่านดร.อยากทราบให้ถ่องแท้ ท่านลองไปสนทนากับพระสงฆ์ที่ได้เปรียญธรรมสูงๆและอยู่ในสายปฏิบัติธรรมด้วยครับ ผมไม่ค่อยถนัดทางปริยัติ แต่ผมลงมือปฏิบัติกับพระเทพวิมลญาณ(หลวงพ่อถาวร จิตฺตถาวโร) วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร (ท่านมรณภาพไปแล้วครับ) เริ่มแรกไม่ใช่การสะกดจิตครับ) ที่การเรียนรู้ปฏิบัติสมถะกรรมฐาน เพื่อโน้มดวงจิตให้นิ่งสงบในกาย กล่าวคือ ในโลกนี้มีนามธรรม กับรูปธรรม เราเกิดในภพภูมิมนุษย์นี้ ท่านต้องทราบเรื่องขันธ์ห้า(รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ในบทสวดบทนึงจะว่า ‘พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นามะรูปัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ เป็นต้น   จากบทสวดจะรู้ได้ว่า นามะ=นามธรรม, รูปัง=รูปธรรม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสังขาร หรือดวงจิตวิญญาณ จักต้องประสพพบเห็นกับ การไม่เที่ยง(เกิด แก่ เจ็บ ตาย) เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตนไม่มีเขาไม่มีเราไม่มีของเขาไม่มีของเรา หรือบางท่านก็จะพูดว่าเป็นความว่างเปล่า ดังนั้นในร่างกายเรา(สังขาร)ก็จะมี2ส่วน อยู่ด้วยกันคือดวงจิตวิญญาณและสังขาร แต่สังขารจะแตกดับกลับกลายไปเป็นธาตุทั้งสี่ดินน้ำลมไฟ ส่วนดวงจิตวิญญาณจะเป็นตัวไปเกิดภพภูมิข้างหน้า สุดแต่ว่าในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ได้กระทำกรรม(การกระทำ)อันใดไว้ เช่น ดีชั่ว บุญบาป กุศลกรรม,อกุศลกรรม เป็นต้น ก็จะต้องได้รับผลกรรมนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงถือเรื่องกรรมเป็นใหญ่(วิทยาศาสตร์) ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "กัมมุนาวัตตติโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น" หากท่านสนใจการปฏิบัติธรรม อันดับแรก ท่านศึกษาธรรมะ เพียง1กำมือพอ ครับ ไม่ต้องศึกษาให้ละเอียดมาก การศึกษาให้ละเอียดเป็นเรื่องของพระสงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่ท่านดร.ศึกษาเพียงเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ(เปรียบเหมือนทหารถ้าไม่มีแผนที่ก็หลงป่า) หากเราไม่ศึกษาธรรมะเราก็ไม่มีหลัก เมื่อไม่มีหลักก็หลงทาง ทำให้เสียเวลา และอีกอย่างท่านดร.ก็ปาเข้า60ขวบแล้ว เรียกว่าช่วงหนุ่มสาวได้ปล่อยปละละเลยการศึกษาปฏิบัติธรรมในช่วงวัยหนุ่มอันในช่วงนี้จิตและสังขารยังไม่แก่มากที่จะกระทำการปฏิบัติได้ดีกว่าวัยชรา แต่ก็ไม่เป็นไรถึงท่านดร.เข้าสู่วัยชราแต่สติสัมปชัญญะยังสมบูรณ์ ท่านก็รีบเร่งขวนขวาย การศึกษาเรื่องจิตเป็นเรื่องที่ยากยิ่งครับ การศึกษาจิตคือการทำจิตให้สงบ(มิใช่การสะกดจิต)ครับ ผมขอหยุดเพียงเท่านี้ก่อนครับ ผมไม่มีความรู้ดีถึงขั้นพระสงฆ์ รู้นิดๆหน่อยๆจากการปฏิบัติมาก็นับว่าเป็นสิบปีได้ เพียงแนะนำได้บ้างเท่านั้นครับ หากท่านสนใจ ก็พอที่จะแนะนำการปฏิบัติพอได้บ้างครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ

สาธุ

 

            ดร.โสภณ: ขอบพระคุณครับที่สนทนากัน ข้อแรกเรื่องที่ว่าตามๆ กันมาเรื่องนาค ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะถ้ามีฤทธิ์ขนาดนั้น ก็น่าจะศึกษาธรรมะได้ แถมมีใจอยากบวชอีกต่างหาก ส่วนที่ว่าต้องเป็นอนาคามีจึงจะเห็นนรกสวรรค์นั้น ผมก็ไปไม่ถึงครับ แต่ใครจะพิสูจน์ได้ว่าคนนั้นคนนี้เป็นอนาคามีแล้วล่ะครับ

 

            FC: นาคศึกษาธรรมะได้ จึงศรัทธาเพื่อจะปฏิบัติธรรมให้บังเกิดการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์ครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า"ภพมนุษย์เท่านั้น ที่จะปฏิบัติให้หลุดพ้นจากกิเลสได้ เพราะในภพมนุษย์มีเนื้อหนังมังสาเลือดเนื้อมีการเจ็บป่วยมีสุขมีทุกข์ฯลฯด้วยที่เรียกว่ากายสังขาร ส่วนภาพอื่นเช่นเทวดามีกายทิพย์ ถ้าท่านจะรู้ละเอียดต้องคุยกับพระสงฆ์ครับ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า"เกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นที่จะหลุดพ้นได้" เกิดเป็นเทวดายังต้องมาเกิดเป็นมนุษย์จึงจะหลุดพ้นได้ครับ(ผมก็ฟังมาจากพระครับ)

 

            ดร.โสภณ: การที่จะถึงอนาคามีและพระอรหันต์ได้ ต้องปฏิบัติไต่เต้าจากโสดาบันไปเรื่อยๆครับ แค่ระดับอย่างเราท่านจะได้โสดาบัน ก็ยากแสนยากแล้วครับ

 

            FC: ส่วนจะรู้ว่าได้ว่าเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ นั้น  ก็พระปฏิบัติด้วยกันเองเท่านั้นครับถึงจะทราบได้ เพราะการปฏิบัติที่พระสงฆ์ได้พบพานนั้น บางอย่างพูดให้ปุถุชนฟังไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อและนำมาพิสูจน์ให้เห็นได้ยาก นอกจากผู้ปฏิบัติด้วยกันเอง และหากพูดออกมาก็จะเป็นปราชิกครับ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "อวิชชา มีอยู่จริงแต่ไม่สามารถหลุดพ้นได้" ยกตัวอย่าง หากผมพูดว่า ผมเห็นดวงจิตลอยอยู่ที่ใบหน้า คนทั่วไปได้ยิน ก็จะว่าผมบ้าบอหรือเพี้ยนไปแล้ว เป็นต้น แต่ถ้าพระสงฆ์ไปพูดไปเทศน์ให้ฟังว่า ท่านเห็นดวงจิตลอยอยู่บนใบหน้า จะต้องถูกจับสึกทันทีครับเป็นปราชิกอวดอุตริ ครับ อนึ่ง ท่านต้องไปสนทนาธรรมกับพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนะครับ ถึงจะรู้ละเอียดและรู้จริง ไม่หลงทางครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ยินดีที่ได้สนทนากับท่านดร.ครับ

ส่วนภาพอื่น

 

            ดร.โสภณ: ก็แปลกนะครับเรื่องนาค เรื่องกายสังขาร ก็แล้วแต่ว่ากันครับ เรื่องบรรลุอรหันต์ จึงจะรู้ ก็ไม่ใช่ข้อพิสูจน์เลย อย่างน้อยต้องมีมาตรฐานของการเป็นอนาคามีหรืออรหันต์ ให้คนสามัญได้รู้ว่านี่แหละคนแบบนี้ ในสมัยพุทธกาล คนยังรู้ได้เลยว่าใครบรรลุหรือไม่นะครับผม

 

            FC: ท่านต้องไปศึกษาธรรมะให้กระจ่างกว่านี้ครับ ผมมีข้อสังเกตให้ท่านพิจารณา บางอย่างเช่น พระบางรูปที่มรณภาพไปแล้ว แต่สังขารไม่เน่าเปื่อย วิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เช่นกัน หวังว่าท่านคงเข้าไปปฏิบัติธรรมะ ท่านก็จะสามารถรู้ได้กระจ่าง ถ้าท่านสงสัยอยู่เช่นนี้ ท่านก็ตั้งมโนไปตลอด ผมว่าท่านลงไปพิสูจน์ด้วยตนเอง จะรู้ได้กระจ่างด้วยตนเอง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ใครทำใครได้ครับ ไม่สามารถกระทำให้กันได้ ท่านดร.ต้องรู้แจ้งชัดเจนด้วยตนเองครับ ผู้อื่นเป็นเพียงชี้แนะเท่านั้นเองครับ เมื่อไหร่หากท่านอยากจะลงมือปฏิบัติ ผมมีความรู้นิดหน่อย พอที่จะช่วยแนะได้บ้างครับ จากนั้นท่านก็ศึกษาต่อกับพระสายพระป่าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบครับ สวัสดีครับ

            เขาว่าไว้ คนเราไม่เห็นทุกข์ ก็จะไม่เข้าหาธรรมะ ครับ

 

            ดร.โสภณ: ขอบคุณครับ เรื่องตายแล้วร่างไม่เน่า ถือเป็นเรื่องไม่สมควร ขนาดพระศาสดายังเผาเลย บางคนอุตริเก็บไว้ให้คนบูชาครับผม


            FC:  ท่านอย่ามองในแง่ร้ายมากครับ มีหลายองค์มากครับ ที่ไม่เน่าไม่เปื่อย ถ้าท่านคิดว่าอุตริผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ครับ ว่างๆท่านขับรถไปที่วัดกาหลง ที่เป็นพระอาจารย์ละครดังเรื่องตี๋ใหญ่ ถ้าท่านไปถามชาวบ้านแถวนั้น จะพบความจริงขึ้นมาอีกครับ กล่าวคือ สังขารหลวงปู่สุก เมื่อมรณภาพแล้วสังขารก็ไม่เน่าเปื่อย ต่อมาชาวบ้านประชุมกันว่าจะทำอย่างไรกับสังขารของท่าน ที่ชาวบ้านตกลงกันว่าจะต้องประชุมเพลิงสังขารของท่าน ซึ่งหากปล่อยไว้วันข้างหน้าสังขารจะปะปนไม่รู้ได้ว่าเป็นสังขารของใคร เมื่อประชุมเพลิงเสร็จ ปรากฏว่า กระดูกของท่านไม่เป็นเถ้าอัฐิ ยังมีศรีษะ โครงกระดูกแขน ขา ซี่โครง ครบหมดเลยครับ ทางวัดใส่โลงแก้วไว้ให้สักการะบูชามาจนทุกวันนี้ ท่านดร.ไปชมได้ด้วยตาเลยครับ

           

            ดร.โสภณ: ขอบพระคุณครับ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทำอย่างนี้ ไม่ควรให้มีแบบนี้ครับผม เคยสงสัยไหม! คลายปริศนาคาใจ ตามหลักวิทย์ ทำไมศพพระไม่เน่าเปื่อย? https://www.thairath.co.th/news/local/1034129

 

            FC: สวัสดีครับท่านดร.โสภณ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ การศึกษาวิทยาศาสตร์ คือการเรียนรู้ธรรมชาติและค้นคว้าธรรมชาติพิสูจน์จนได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนแล้วก็มาเขียนไว้เป็นหลักการให้มนุษย์ศึกษากันต่อไป และมนุษย์ก็ค้นคว้าธรรมชาติต่อไปเรื่อยๆเพื่อพัฒนามนุษย์ให้สะดวกสบายหรือพัฒนาเพื่อให้เกิดการทำลายล้างก็ได้(อาวุธ)ครับ ดังนั้น วิชาวิทยาศาสตร์ก็พัฒนาไปตลอด บางเรื่องดังที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ อย่างเช่นพระไม่เน่าเปื่อย(โดยไม่ได้ใช้สารเคมีอันใดเลย) และหลวงปู่สุดวัดกาหลง เมื่อประชุมเพลิงแล้วอัฐิยังไม่เป็นเถ้าธุลีที่ยังมีโครงกระดูกของมนุษย์สมบูรณ์อยู่อันเป็นที่อัศจรรย์ของชาวบ้าน ท่านไปสอบถามความเป็นมาจากชาวบ้านที่วัดกาหลงได้ด้วยตนเองเลยครับ และอีกอย่างผมขอพูดท่านอย่าโกรธผมนะครับ กล่าวคือ ท่านต้องศึกษาเรื่องกิเลสให้เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อยครับ ที่กิเลส นั้น มีอยู่ 2 อย่าง คือ 1.กิเลสอย่างหยาบ(โลภ โกรธ หลง) 2.กิเลสอย่างละเอียด คือ นิวรณ์5 ผมขอยกนิวรณ์ห้าในบางข้อให้ท่านขบคิด ผมไม่กล่าวหาท่านดร.นะครับ ในนิวรณ์ห้ามีข้อนึงที่ว่า อย่าลังเลสงสัยในบาป บุญ คุณ โทษ ชาตินี้ชาติหน้า เป็นต้นครับ ผมก็ไม่ได้เก่งทางด้านปริยัติ ผมรู้เพียง1กำมือ เพื่อเป็นแผนที่นำทางในการปฏิบัติเพื่อไม่ให้หลงทาง(คือปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตามคำสอนของพวกหากินกับศาสนาครับ) หวังว่าท่านคงอภัยให้กับผม สวัสดีครับ ขอบคุณครับ

            วิธีพักจิต หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ https://www.youtube.com/watch?v=ykhrqKBFC-U

 

            ดร.โสภณ: ไม่โกรธหรอกครับ และขอบพระคุณที่เมตตาให้ความรู้ครับ อย่าลืมอ่านคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ว่าทำไมภิกษุบางรูปตายแล้วไม่เน่านะครับ: https://www.thairath.co.th/news/local/1034129 ส่วนเรื่องกิเลส ผมคงยังมีอยู่เต็มเหมือนปุถุชนทั่วไปครับ ต้องค่อยๆ ขัดเกลาไป แต่จะทันหรือไม่ก็ไม่ทราบนะครับ เพราะตอนนี้ก้อายุ 64 ปีแล้วครับ

 

            FC: ขอบคุณครับ ถ้าท่านดร.ทำทุกวันอย่าได้ขาดหายต้องสำเร็จครับ ขอให้สำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ สาธุ

นายระวิพงษ์ สวัสดิ์วอ เห็นแล้วเมื่อ ใช้อานาปานสติ ในการปฏิบัตินะครับ เพราะลมหายใจ เป็นยอดมงกุฎของการปฏิบัติครับ สิ่งสำคัญต้องรู้กายพร้อมกันกับรู้จิต ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้นะครับ หลวงปู่แหวนว่า"จิตส่งนอกเป็นสมุทัย"

 

ว่าด้วยชาติก่อน ชาตินี้และชาติหน้า https://fb.watch/fbHYAQ76ZD/

 

 

ว่าด้วยชาติก่อน ชาตินี้และชาติหน้า   https://youtu.be/osKVU98LyOM

อ่าน 1,291 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved