อ่าน 1,120 คน
AREA แถลง ฉบับที่ 43/2557: 27 มีนาคม 2557
ควรเร่งสร้างเขื่อนแม่วงก์

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
sopon@area.co.th

          ในความเห็นของ ดร.โสภณ พรโชคชัย "ผมไม่เชื่อ NGOs และกลุ่มผู้คัดค้านเขื่อนแม่วงก์จึงทุ่มเวลาสำรวจวิจัยเรื่องนี้ด้วยตนเองด้วยเงินส่วนตัวเองโดยไม่มีใครว่าจ้าง ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ผมเชื่อว่าการต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ เป็นดรามา ใช้ข้อมูลเท็จให้หลงเชื่อจนทำลายประโยชน์ที่ป่าไม้ สัตว์ป่าและประชาชนคนเล็กคนน้อยจะได้รับจากการมีเขื่อน

          การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ต่างหากที่จะเป็นทางออกที่ดีสำหรับ
          1. ป่าไม้ที่จะช่วยรักษาป่าไม้ไว้ได้อย่างถาวร เพื่อให้ป่าไม้ถูกกันจากการบุกรุกถากถางเพิ่มเติม และเพื่อให้มีน้ำในเขื่อนปริมาณมหาศาล ไว้ให้ต้นไม้ให้รับความชุ่มชื้น ป่าไม้จะได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนช่วยดับไฟป่าที่เกิดขึ้นนับร้อยๆ ครั้งในแต่ละปี
          2. สัตว์ป่าที่จะได้รับการบำรุงและเพิ่มพูนชีวิต ด้วยน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์เพื่อการดื่มกิน และมีเขื่อนไว้เป็นแนวไว้ป้องกันการเข้ามาไล่ล่าสัตว์ป่าที่มักเกิดขึ้นในผืนป่าตะวันตก สัตว์ป่าจะได้ขยายพันธุ์ได้อย่างราบรื่นไม่ถูกรบกวน
          3. มนุษย์ โดยเฉพาะประชาชนคนเล็กคนน้อย และชุมชน จะได้มีเขื่อนไว้สำหรับป้องกันน้ำท่วม การชลประทาน การไฟฟ้า และยังจะมีผลพลอยได้จากการประมงโดยเลี้ยงปลาและสัตว์น้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำของเขื่อน ตลอดจนการท่องเที่ยว เป็นต้น

          บางคนอาจเกรงว่า การสร้างเขื่อนจะกระทบต่อป่าไม้ แต่ก็ในวงแคบๆ ขนาดเพียงแค่ 2 เท่าของเขตสาทร เขตกระจิริดของกรุงเทพมหานคร และเป็นพื้นที่ที่เป็นป่าเสื่อมโทรมในอดีต ไม่ใช่ป่าดงดิบดังการสร้างภาพ ซึ่งมีการสร้างภาพถึงขนาดนำนกยูงมาเลี้ยงและปล่อยไว้เพื่อให้คนเข้าใจว่าที่นี่มีนกยูงธรรมชาติ เป็นต้น

          ตามรายงานฉบับเดือนกรกฎาคม 2555 ระบุข้อดีของการสร้างเขื่อนแม่วงก์ไว้ดังนี้:
          1. จะทำให้มีปริมาณน้ำต้นทุนในลุ่มน้ำแม่วงก์เพิ่มขึ้น โดยมีปริมาตรเก็บกักประมาณ 258 ล้านลบ.ม. เพื่อใช้เป็นน้ำเพื่อการเกษตร น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การประมงน้ำจืด รวมทั้งเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น
          2. สามารถส่งน้ำให้พื้นที่รับประโยชน์ท้ายอ่าง 10,000 ไร่ และพื้นที่ชลประทาน 291,900 ไร่ (ฤดูฝน) และในฤดูแล้ง 116,545 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 127 หมู่บ้าน 23 ตำบล 6 อำเภอ 3 จังหวัด
          3. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทีดินด้านการเกษตรกรรม (Cropping Intensity : CI) เพิ่มขึ้น 40%
          4. การยกระดับรายได้ของเกษตร เกษตรสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวในฤดูฝน เพิ่มพื้นที่เพาะปลูก และเพิ่มผลผลิตพืชได้ในฤดูแล้ง
          5. เพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำจากการประมงน้ำจืด ประมาณปีละ 165 ตัน คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งหมดปีละ 7.13 ล้านบาท รวมทั้งทำให้นิเวศน์ด้านท้ายน้ำของลำน้ำแม่วงก์มีความสมบูรณ์
          6. อ่างเก็บน้ำสามารถเป็นแหล่งน้ำเพื่อการดับไฟป่าที่มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ใน พ.ศ.2542 มีไฟป่าเกิดขึ้นถึง 108 ครั้ง พื้นที่เสียหาย 3,327 ไร่
          7. ทำให้สมบัติของดินโดยรอบอ่างเก็บน้ำและในพื้นที่ชลประทานมีความชุ่มชื้นมากขึ้นโดยเฉพาะในฤดูแล้ง เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของพืชพรรณธรรมชาติรวมทั้งพืชเกษตรกรรม
          8. สัตว์ป่าจะได้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำในด้านการเป็นแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร
          9. มีน้ำใช้เพื่อการชลประทานและการอุปโภคบริโภคสำหรับประชาชน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยว
          10. ทำให้สภาพทางสาธารณสุขและภาวะโภชนาการมีแนวโน้ม ดีขึ้น

          การสร้างเขื่อนมีข้อดีมากกว่าข้อเสียหลายประการ แต่สิ่งที่พึงระวังก็คือจะมีแนวทางการจัดการข้อเสียอย่างไรบ้าง เช่น
          1. ในข้อที่เสียป่า 12,300 ไร่นั้นเป็น 2.2% ของอุทยานฯ หรือ 0.1% ของผืนป่าตะวันตกทั้งหมด คงไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ แต่ก็ส่งผลให้เกิดแหล่งน้ำสำหรับสัตว์เพิ่มขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น อาจทำให้ป่าไม้โดยรอบหนาแน่นกว่าเดิม ชดเชยส่วนที่เสียไปได้ ทั้งประชาชนราว 50,000 คนจะได้ประโยชน์
          2. ในส่วนของอาคารที่ทำการ ที่เป็นไม้ก็รื้อไปสร้างใหม่ได้ ส่วนที่เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก็คงต้องสูญเสียไป แต่มีมูลค่าน้อย
          3. ในส่วนของต้นไม้ ซึ่งก็คงซ้ำซ้อนกับข้อแรก และต้องโปร่งใส นำไม้ที่ตัดได้มาขายเพื่อลดต้นทุนให้โครงการ และระมัดระวังไม่ให้เงินรั่วไหล หรือมีการตัดไม้เกินจำเป็น ทางราชการต้องตรวจสอบอย่างเคร่งครัด และเป็นช่องทางเชิงสร้างสรรค์ของ NGOs ที่จะทำงาน "ปิดทองหลังพระ" ส่งอาสาสมัครเข้าตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
          4. แหล่งโบราณคดี 6 แห่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีได้อย่างไรในพื้นที่ป่าแห่งนี้ แต่ในอดีต เมื่อก่อสร้างทางหลวง ก็เคยมีการยกย้ายเจดีย์เดิมออกไปแล้วสร้างใหม่นอกบริเวณหรือนอกเขตทาง
          5. แก่งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเดิม ที่จะหายไปคงไม่เป็นปัญหานัก เพราะเมื่อมีเขื่อน ก็จะเกิดแก่ง หาดทราย และแหล่งท่องเที่ยวสวยงาม ใหม่ ๆ มากกว่าเดิม
          6. ในการชดเชย ทางราชการก็คงรวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไว้แล้วในต้นทุนของโครงการ โดยพิจารณาแล้ว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

          ยิ่งกว่านั้นมักมีความเข้าใจผิดในการคัดค้านการสร้างเขื่อน ควรเปิดใจอ่านเหตุผลและข้อคิด 20 ข้อต่อไปนี้ก่อน เพื่อก่อให้เกิดสังคมอุดมปัญญา เหตุผลของการค้านเขื่อนและข้อพิจารณา มีดังนี้:
          1. ระบบนิเวศทั้งหมดจะถูกคุกคาม มีการทำลายป่าต้นน้ำ ความจริง: บริเวณสร้างเขื่อนไม่ใช่ป่าต้นน้ำ ไม่ใช่ป่าดงดิบ แต่ส่วนใหญ่เป็นป่าเสื่อมโทรม เป็นที่ ๆ เคยมีผู้อยู่อาศัยมาก่อนด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ คือ ตั้งอยู่ชายขอบของป่า
          2. ทำลายโอกาสการฟื้นฟูของอุทยาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อป่ามรดกโลก "ห้วยขาแข้ง" ความจริง: เมื่อมีเขื่อน ป่ายิ่งจะได้รับการฟื้นฟู เพราะมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น และมีน้ำเพียงพอสำหรับการดับไฟป่าที่มักเกิดขึ้นนับร้อยครั้งต่อปีโดยไม่มีน้ำดับในหน้าแล้งที่น้ำในลำคลองแห้งขอด
          3. ทำให้ป่าไม้ลดลง ความจริง: ป่าไม้จะมีเพิ่มขึ้นต่างหาก ส่วนที่ถูกตัดไป ทางราชการก็ต้องจัดการตัดให้โปร่งใส เอาเงินมาชดเชยส่วนที่เสียหรือปลูกป่าใหม่ NGOs ก็พึงมีบทบาทในการตรวจสอบการตัดไม้อย่างใกล้ชิด
          4. การสูญเสียพื้นที่อ่างเก็บน้ำมหาศาล ความจริง: สูญเสียไปเพียง 1 ใน 1,000 ของผืนป่าตะวันตก ที่สำคัญไม่ได้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ แต่มักเอ่อไปตามลำคลองเดิม
          5. ทำให้สัตว์ได้รับผลกระทบรุนแรง สูญพันธุ์ ความจริง: สัตว์จะมีมากขึ้น เพราะมีแหล่งน้ำมากขึ้น สามารถดื่มกินได้ทั่วไป แม้ฝรั่งจะศึกษาพบว่าหนูบางชนิดลดน้อยลงที่เขื่อนรัชชประภา แต่สัตว์สำคัญ ๆ ทั้งหลายกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพราะมีน้ำอุดมสมบูรณ์
          6. สัตว์จะจมน้ำตายเช่นกรณีเขื่อนรัชชประภา ความจริง: เขื่อนแม่วงก์ จะไม่มีเกาะแก่งจึงไม่ต้องอพยพสัตว์เช่นเขื่อนรัชชประภากรณีนี้ก็จำเป็นต้องให้สูญเสียน้อยที่สุด เพื่อประโยชน์อเนกอนันต์ของเขื่อนที่ผลิตไฟฟ้า ชลประทาน ฯลฯ ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
          7. ป่าเก็บน้ำได้ดีกว่าเขื่อน ความจริง: มักไม่มีการสร้างเขื่อนในป่าดงดิบอยู่แล้ว เขื่อนมักสร้างในป่าเสื่อมโทรมหรือเป็นที่ราบที่มีต้นไม้น้อย การมีป่ามากมายไม่ได้เป็นหลักประกันว่าน้ำจะไม่ท่วม เช่นในปี พ.ศ.2485 ยังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพมหานคร
          8. เขื่อนแม่วงก์มีขนาดเล็ก ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ความจริง: จากผลการศึกษา EIA ก็พบว่ามีอัตราผลตอบแทนที่สูง และให้บริการได้นับแสนไร่ เพิ่มประสิทธิภาพดิน ยกระดับรายได้เกษตรกร เพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำ สาธารณสุขและสุขภาวะจะดีขึ้น
          9. อาจเกิดการลักลอบตัดไม้ริมอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก เร่งให้สัตว์ป่า เช่น นกยูง และเสือโคร่ง ต้องสูญพันธุ์ และคนเข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าได้ง่าย ความจริง: ข้อนี้เป็นเหตุผลครอบจักรวาล แต่ในความเป็นจริง ทั้งภาครัฐและ NGOs สามารถส่งอาสาสมัครเข้าสังเกตการณ์ ทำงานแบบ "ปิดทองหลังพระ" ได้ (แต่อาจไม่ดัง)
          10. เขื่อนไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมได้ ความจริง: ชาวบ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่มั่นใจว่าแก้ไขได้ เพราะประสบภัยน้ำท่วม และน้ำแล้งทุกปีจนกระทั่งมีความรู้และประสบการณ์ ที่ผ่านมาพอน้ำท่วม ก็ต้องเกี่ยวข้าวมาขายเกวียนละ 4,000 บาท เพื่อหนีน้ำ
          11. มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ระบุว่าเขื่อนแม่วงก็จะมีน้ำไม่เพียงพอในการใช้สอย ความจริง: ผลการศึกษา EIA พบว่าจะบริการประชาชนได้ถึง 127 หมู่บ้านใน 3 จังหวัด รวม 50,000 คน
          12. ไม่ได้ช่วยแก้น้ำท่วมกรุงเทพมหานครเพราะรับน้ำได้เพียง 1% ของน้ำที่มาในปี 2554 ความจริง: ปริมาณน้ำในปี 2554 ซึ่งมากขนาดนั้น แม้แต่ 10 เขื่อนภูมิพลก็ยังเอาไม่อยู่ เขื่อนนี้มีหน้าที่เพื่อประชาชนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ ไม่ควรนำเอาสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาอ้าง
          13. น่าจะสร้างเขื่อนในบริเวณทางเลือกอื่น ความจริง: มีการศึกษาบริเวณที่อื่น ๆ มาแล้ว จึงได้ข้อสรุปให้สร้างที่นี่ เนื่องจากไม่ต้องเวนคืนที่ดินชาวบ้านนับพัน ๆ ครอบครัว
          14. ควรสร้างคูคลองมากกว่าสร้างเขื่อน ความจริง: การจัดการน้ำก็ต้องทำไปพร้อม ๆ กัน การสร้างเขื่อนนี้ไม่ได้มีแค่การสร้างอ่างเก็บน้ำ แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงระบบคูคลองเพื่อการระบายน้ำและการชลประทานด้วย แต่จะมีคูคลองโดยไม่มีเขื่อนเก็บน้ำไม่ได้
          15. บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น ยังมีเขื่อนอีกหลายแห่ง ความจริง: แต่ละเขื่อนก็ทำหน้าที่แตกต่างไป ประเทศไทยยังมีเขื่อนน้อยเกินไป ยังมีการจัดการน้ำไม่ดีพอ จึงควรสร้างเขื่อนเพิ่ม
          16. การเวนคืนที่ดินเพิ่มเติม ประชาชนจะเดือดร้อน ความจริง: การสร้างเขื่อนจำเป็นต้องเวนคืนพื้นที่เพื่อขยายแนวเขตคูคลอง แต่อยู่ที่การจัดที่ทำกินใหม่และการจ่ายค่าทดแทนให้สมเหตุสมผล คงอ้างการเวนคืนเป็นเหตุผลคัดค้านเขื่อนไม่ได้
          17. หลังจากการสร้างเขื่อน อาจเกิดปัญหาชาวบ้านแย่งชิงสูบน้ำเข้าที่นา ฯลฯ ความจริง: ในการชลประทาน ทุกคนก็ต้องสูบน้ำ และต้องจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว อย่าอ้างความกลัวเรื่องที่แก้ไขกันอยู่เป็นปกติแล้ว
          18. ควรให้งบประมาณแก่ 23 ตำบล ตำบลละ 200 ล้านบาท แล้วหาทางพัฒนาแหล่งน้ำโดยให้ชาวบ้านดำเนินการเอง ความจริง: การแก้ไขปัญหาต้องทำแบบองค์รวม ไม่ใช่แก้ไขในแต่ละหมู่บ้าน เพราะไม่ได้มีแต่ปัญหาน้ำแล้ง ยังมีน้ำไหลมาจากที่อื่น ที่ต้องกักเก็บไว้ใช้ร่วมกันด้วย
          19. การทำลายพื้นที่ท่องเที่ยวปัจจุบัน เช่น แก่งลานนกยูง ความจริง: เมื่อมีเขื่อนแม่วงก์ ก็จะทำให้มีแก่งใหม่ มีชายหาด มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย สวยกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งจะหมดสภาพท่องเที่ยวเมื่อเข้าหน้าแล้งเพราะไม่มีน้ำ
          20. ทั่วโลกเขาไม่เอาเขื่อนกันแล้ว ความจริง: สหรัฐอเมริกาทุบเขื่อนเก่านับร้อยปี เพราะซ่อมไม่คุ้ม รวมทั้งส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังมีโครงการสร้างเขื่อนใหม่ๆ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศเล็กกว่าไทยก็ยังมีเขื่อนมากกว่า แถมทั้งสองประเทศยังมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ไทยไม่มี

          เนื่องจากที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ทางกลุ่มจึงสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่ในระหว่างวันที่ 2-3 ตุลาคม 2556 ได้ผลสรุปสำคัญดังต่อไปนี้:
          1. ในเบื้องต้นพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 57% ต้องการให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ 16% ยังไม่ได้ตัดสินใจ และ 27% ไม่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน
          2. สำหรับกลุ่มที่ยังไม่แสดงความเห็นนั้น ส่วนหนึ่งตัดสินใจแล้วแต่ยังสงวนท่าที ไม่แสดงความเห็น แต่ส่วนหนึ่งยังไม่ได้ตัดสินใจ หากต้องตัดสินใจไปในทางใดทางหนึ่ง ก็คงต้องเลือกในที่สุด แต่ในเบื้องต้นนี้ หากตัดกลุ่มที่ยังไม่ได้แสดงความเห็นออก ให้เหลือเฉพาะกลุ่มที่ต้องการและไม่ต้องการเขื่อนแม่วงก์ สัดส่วนจะเป็น 69% และ 31%ตามลำดับ หรือมีสัดส่วนเท่ากับ 2:1 หรืออีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าประชาชนประมาณสองในสามเห็นว่าควรสร้างเขื่อนแม่วงก์
          3. สถิติของทางราชการแสดงว่า ประชาชนในเขตอำเภอทั้ง 6 แยกเป็น 8 ท้องถิ่นนั้น มีทั้งสิ้น 458,834 คน โดยเป็นประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 344,736 คน หรือ 75.1% ของทั้งหมด ประชาชนกลุ่มนี้บรรลุนิติภาวะแล้ว มีวิจารณญาณในการตัดสินใจต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้
          4. เมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ผลว่า มีประชาชน 197,018 คนเห็นควรให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ ที่ไม่เห็นด้วยมี 92,297 คน และยังมีผู้ที่ยังไม่แสดงความเห็น ซึ่งเป็นส่วนน้อยอยู่เพียง 55,421 คน แต่หากใช้สัดส่วนเฉพาะประชาชนผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน (69% และ 31%) มาพิจารณา จะพบว่าประชาชนที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนมีจำนวน 238,486 คน ส่วนที่ไม่เห็นด้วยมีจำนวน 106,250 คน ทั้งนี้ โดยมีสมมติฐานว่ากลุ่มที่ยังไม่แสดงความคิดเห็นจะแสดงความเห็นไปในทางใดทางหนึ่งหากมีการลงประชามติ
          5. จากสมมติฐานในข้อ 4 อาจกล่าวได้ว่า หากให้ประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบและมีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมกันลงประชามติโดยเสรี และโดยให้มีหน่วยลงประชามติที่สะดวกและทั่วถึงเช่นเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไป ก็อาจจะมีประชาชนที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อนถึงประมาณ 197,018 - 238,486 คน ซึ่งถือเป็นประชามติของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่นั่นเอง
          6. กลุ่มประชาชนที่คัดค้านการสร้างเขื่อนส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ซึ่งไม่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรงจากปัญหาน้ำท่วมและฝนแล้ง ส่วนในเขตเทศบาลตำบลลาดยาว ซึ่งแม้มีปัญหาน้ำท่วม แต่ก็เป็นเพราะการจัดการน้ำในเขตเทศบาล ไม่เกี่ยวกับเขื่อนแม่วงก์โดยตรง อย่างไรก็ตามในเขตอื่น ๆ ประชาชนทั่วไปส่วนมากจะสนับสนุนการสร้างเขื่อน โดยท้องที่ที่สนับสนุนการก่อสร้างเขื่อนอย่างล้นหลาม มีประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในเขตอำเภอเมือง และอำเภอลาดยาว
          7. ผู้คัดค้านการสร้างเขื่อนให้เหตุผลสำคัญเกี่ยวกับความสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ความไม่เหมาะสมของสถานที่ก่อสร้างเขื่อน ความรักและสงสารสัตว์ป่า โอกาสในการทุจริตในการก่อสร้างโครงการ และการคาดการณ์ว่าเขื่อนที่จะสร้างขึ้นไร้ประสิทธิผล
          8. ผู้สนับสนุนการก่อสร้างเขื่อนให้เหตุผลเรื่องการป้องกันปัญหาน้ำท่วม และการมีน้ำใช้เพื่อเกษตรกรรมในฤดูแล้ง โดยได้วิงวอนให้สังคมเห็นแก่ความทุกข์ยากของเกษตรกรมากกว่าสัตว์ป่า จะสังเกตได้ว่าผู้สนับสนุนการก่อสร้างเขื่อนส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกร ส่วนเกษตรกรในบางพื้นที่ที่ไม่ได้ผลกระทบไม่เห็นควรให้ก่อสร้างเขื่อน ผู้คัดค้านส่วนมากเป็นผู้ไม่ได้มีอาชีพเกษตรกรรม หรืออยู่ในเขตเมือง เห็นว่าตัวเองไม่เดือดร้อน และเกรงกลัวการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้และ สัตว์ป่าส่วนนี้ตลอดไป


ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved