สลัมลดลง แต่พวก “นายหน้าค้าความจน” ไม่กล้าบอก
  AREA แถลง ฉบับที่ 968/2566: วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2566

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4


 

            ทุกวันนี้สลัมลดลงไปเป็นอย่างมาก แสดงว่าประเทศไทยเจริญขึ้น แต่พวก “นายหน้าค้าความจน” ไม่ยอมบอก หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องไม่มีข้อมูลจริง ไม่สำรวจมานับสิบๆ ปี เพราะไม่อยากให้โลกรู้ว่าสลัมลด

 

สลัมลดน้อยลง

          ตอนที่ผมซึ่งเป็นคนแรกที่ค้นพบสลัม 1,020 แห่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (กทป.) เมื่อปี 2528 นั้น ไทยรัฐลงหน้าหนึ่งเลย เพราะผู้คนตกใจที่ทำไมมีสลัมมากมายโดยที่ทางการไม่เคยสำรวจพบมาก่อน แต่ความจริง นั่นเป็นเพียง 27% ของบ้านทั้งหมดใน กทป. ณ เวลานั้น เมื่อย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 เฉพาะในกรุงเทพฯ มีบ้านที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (สมควรรื้อทิ้ง) หรืออนุมานว่าเป็นสลัมอยู่ถึง 43% ของบ้านทั้งหมดด้วยซ้ำ  และ ณ ปี 2543 สลัมเหลือเพียง 5.8% ใน กทป. (191,090 หน่วย จากที่อยู่อาศัย 3,292,442 หน่วยทั่ว กทป.) และ ณ ปี 2548 สัดส่วนของสลัมต่อที่อยู่อาศัยทั้งหมดใน กทป. ก็คงลดน้อยไปกว่านี้อีกเนื่องจากการรื้อถอนสวนทางกับการเพิ่มขึ้นของบ้านจัดสรร และอาคารชุดทั้งหลาย

          ความจริงแล้วผมค้นพบว่าสลัมใน กทป. ลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2536  จนกระทั่งทางสหประชาชาติโดย ILO ได้เผยแพร่ให้เป็นกรณีศึกษาของโลกที่ประสบความสำเร็จในการลดปริมาณสลัมลงได้ แต่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์นี้ได้รับการเผยแพร่เพียงน้อยนิดทั้งในระดับสากลและโดยเฉพาะในประเทศไทย เนื่องจากกระแสหลักก็คือการพยายามทำให้สังคมเชื่อว่าสลัมมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพื่อที่ “นายหน้าค้าความจน” ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย จะได้ใช้เป็นเครื่องมือหางบประมาณมาสร้างผลงาน มาหาเลี้ยงชีพส่วนตัว หรือมาโกงกินกันต่อไป

 

คนสลัมไม่ใช่คนจน

          ในประเทศไทยมีคนจน (บุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน) อยู่ประมาณ 10% หรือประมาณ 6.2 ล้านคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในชนบท ดังนั้นสัดส่วนของคนจนใน กทป. จึงน่าจะมีน้อยกว่า 10% หากประมาณการว่าเป็นแค่ 5% กทป. ที่มีประชากร 9,636,541 คน ก็จะมีคนจนเพียง 481,827 คน ในขณะที่คนสลัมใน กทป. มี 1,486,700 คน ยิ่งกว่านั้นคนจนใน กทป. จำนวน 481,827 คนดังกล่าว ก็หาได้อยู่เพียงในสลัมไม่ พวกเขายังอาจเร่ร่อนอยู่ทั่วไป อยู่ในหอพักคนงาน เป็นคนใช้ตามบ้าน เป็นแรงงานก่อสร้าง ฯลฯ ดังนั้นอาจอนุมานได้ว่า คนสลัมที่จนจริง ๆ นั้นมีเพียงน้อยนิด

          ความจริงข้างต้นอาจดูน่าฉงน ลองมาตรองดู คนสลัมส่วนมากมีบ้านเป็นของตนเองบนที่ดินเช่า (เป็นส่วนใหญ่) ในราคาแสนถูก หรือไม่ก็บุกรุกที่ดินคนอื่นฟรี ๆ แล้วสร้างบ้าน (เป็นส่วนน้อย) การมีบ้านสะท้อนฐานะที่ชัดเจน เพราะถ้าต้องเช่าบ้าน ค่าเช่าอย่างน้อยก็เป็นเงิน 1,500 บาทต่อห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ถ้าเช่าบ้านสลัมทั้งหลังคงไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท ถ้าเราเอาค่าเช่ามาแปลงเป็นมูลค่า ณ อัตราผลตอบแทน 8% ต่อปี ก็จะเป็นเงิน 375,000 บาทต่อหลัง (2,500 x 12 / 8%) นี่คือเครื่องแสดงฐานะของชาวสลัมโดยเฉลี่ย

          ดังนั้นที่อ้างกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่าชาวสลัมยากจนนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีมูล อาจถือเป็นคน “อยากจน” เพื่อผลประโยชน์บางอย่างมากกว่า

 

คนสลัมไม่ใช่ผลพวงของการย้ายถิ่น

          เราเข้าใจผิดว่า คนจนในชนบทย้ายมาอยู่ กทป. โดยเฉพาะสลัม ผมเคยค้นพบไว้เมื่อปี 2536 ว่า ณ ปี 2533  การย้ายถิ่นส่วนใหญ่ ย้ายระหว่างชนบทสู่ชนบท ไม่ใช่เข้าเมือง ที่ย้ายเข้าเมืองเป็นเพียงส่วนน้อย (22%) โดยสรุปแล้วอาจกล่าวได้ว่า

          1. ผู้ที่ย้ายถิ่นส่วนใหญ่ย้ายระหว่างชนบทสู่ชนบท ไม่ใช่เข้าเมืองอย่างที่เข้าใจกัน

          2. เฉพาะผู้ที่ย้ายเข้าเมือง ก็ไม่ใช่ว่ามา กทป. เป็นส่วนใหญ่

          3. เฉพาะผู้ที่เข้ามา กทป. ก็ไม่ใช่มีแต่คนยากจน กลุ่มอื่นที่ย้ายก็ได้แก่ผู้ที่มาศึกษาต่อ เป็นข้าราชการ ฯลฯ

          4. เฉพาะคนจนที่ย้ายเข้า กทป. ก็ใช่มาอยู่แต่ในสลัม ยังมีบ้านเช่าราคาถูกนอกสลัมอยู่มากมาย หรือบ้างก็เป็นคนรับใช้ในบ้าน เป็นสาวโรงงาน ฯลฯ

          5. เฉพาะคนจนที่ย้ายเข้าในสลัม ส่วนมากก็เพียงมาอยู่ชั่วคราว ไม่คิดปักหลักแต่อย่างใด

 

          ท่านเชื่อหรือไม่ว่าความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดแบบ “เส้นผมบังภูเขา” กล่าวคือ ในการสำรวจทางสังคมศาสตร์ เรามักจะหาข้อมูลจากแต่หัวหน้าครัวเรือน ในปี 2528 ทางราชการได้สำรวจครัวเรือนสลัมถึง 3,594 ครัวเรือนใน กทป. แล้วพบว่า 59% ของหัวหน้าครัวเรือนเกิดต่างจังหวัด แต่เมื่อผมได้มีโอกาสเข้าไปตรวจสอบแบบสอบถามดังกล่าว กลับพบว่า ส่วนใหญ่ (65%) ของประชากรสลัม (หัวหน้า คู่ครองและสมาชิกครัวเรือนด้วย) เกิดใน กทป.เอง

 

คนจะดีอยู่ที่ตัวเอง

          สาเหตุที่สลัมลดลงเพราะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ประชากรมีรายได้มากขึ้น มีบ้านในตลาดเปิดให้ซื้อหาในราคาย่อมเยา ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงจากประเทศเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เศรษฐกิจของไทย ณ ปี 2494 มีฐานจากเกษตรกรรมถึง 38% แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงประมาณ 10% กลับกันภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจาก 13% เป็นประมาณเกือบ 40% ในปัจจุบัน

          ในประเทศอินเดีย มีสลัมอยู่ทั่วไป ผู้คนนอนข้างถนนก็ยังมี ที่เมืองกัลกัตตา (Kolkata) มีแม่ชีเทเรซ่า  อุทิศตนช่วยเหลือชาวสลัมจนชีวิตหาไม่ ท่านเป็นผู้สูงส่งโดยแท้ แต่ผมก็ขออนุญาตแสดงความเห็นด้วยความเคารพว่า ต่อให้มีแม่ชีเทเรซ่านับพันท่าน ก็ทำให้สลัมในอินเดียลดน้อยถอยลงไปได้ เพราะสลัมไม่ได้ลดเพราะการช่วยเหลือเหล่านี้ เราจึงควรพิจารณาให้ดีว่าการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ผ่านมาต่อชาวสลัม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียงการช่วยให้ใครบางคนได้มีโอกาสทำงานไต่เต้า (แทนที่ต้องไปทำงานอื่น) หรือได้มีโอกาสโกงกินมากกว่าหรือไม่

          คนที่พอใจกับการอยู่สลัมนั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอยู่มานานจึงเคยชิน แต่คนสลัมปกติอยากย้ายออกเมื่อมีโอกาส เพื่อให้ลูกหลานมีสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม อย่างสลัมคลองเตย ยิ่งพัฒนา ยาเสพติดยิ่งมาก ลองคิดดูว่า ถ้าคนเราอยู่ในสลัมมา 20-30 ปีโดยไม่ย้ายออกไปเลย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะโชคชะตาอาภัพ ทำดีไม่ได้ดี แต่อีกด้านหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ หลายคนอาจขาดความตั้งใจที่จะดี มีเงินก็เอาไปทางอบายมุขหมด

          อย่างไรก็ตามควรบันทึกไว้ว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีชาวสลัม 2 คนที่เด่นล้ำเหนือคนไทยเกือบทั้งหมด คนหนึ่งคือ ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ท่านสมาชิกวุฒิสภา อีกคนหนึ่งคือ “นายภาพ 70 ไร่” ผู้ถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติด ทั้งสองท่านนี้มีฐานะดีขึ้นอย่างชัดเจนและสามารถย้ายออกจากสลัมได้ในที่สุด

 

ข้อสังเกตส่งท้ายเรื่องข้อมูล

          มีสิ่งที่พึงสังเกตประการหนึ่งก็คือ มีการพยายามเอาข้อมูลมาบิดเบือนเพื่อประโยชน์บางประการ เช่นเมื่อจะหาเหตุสร้างบ้านมั่นคง และบ้านเอื้ออาทร ทางราชการก็อ้างว่า ในประเทศไทยมีการบุกรุกที่ดินถึง 5,000 ชุมชน รวม 1.6 ล้านครอบครัว เพื่อให้เห็นว่า มีความต้องการบ้านเป็นจำนวนมาก (ซึ่งไม่จริง) ผมเคยทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2546 ว่า “(ผมได้พบโดยการทำการสำรวจทั่วประเทศว่า) มีสลัมทั้งหมด 1,589 ชุมชน มีประชากร 1.8 ล้านคน หรือราว 3% ของคนไทยเท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นชุมชนเช่าที่ปลูกบ้านและชุมชนเจ้าของบ้านพร้อมที่ดิน ชุมชนบุกรุกมีเพียงส่วนน้อยมาก

          ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ในช่วงระยะ 20 ปีที่ผ่านมา มีการสำรวจสลัมและเผยแพร่น้อยมาก แสดงว่าเราไม่ได้บริหารงานด้วยข้อมูล โดยหลักแล้วก่อนจะทำอะไรอย่างมืออาชีพต้องศึกษาให้ละเอียด ชัดเจน ดังนั้นการไม่ใช้ข้อมูลที่เป็นจริงในการบริหารหรือวางนโยบายและแผนอย่างเหมาะสม อาจสะท้อนความไม่ชอบมาพากลบางประการ ซึ่งควรได้รับการตรวจสอบ

          ประเทศไทยจะเจริญอย่างยั่งยืนได้ต้องสำรวจวิจัยและเผยแพร่ให้การศึกษาแก่ประชาชน ได้รู้ความจริงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ปิดหูปิดตาประชาชนเพื่อประโยชน์อันมิชอบ

(ดูรายละเอียดที่: https://bit.ly/1jJzngx)

อ่าน 16,182 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved