นิราศมาเก๊า-ฮ่องกง
  AREA แถลง ฉบับที่ 994/2566: วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2566

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

วันหยุดยาว (20-23 ตุลาคม 2566) หลายคนคงนึกอยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ผมก็ไปครับ คราวนี้ไปไกลถึงมาเก๊าและฮ่องกง ตามมาดูครับ

            อันที่จริงผมกะจะไประนอง ไปดูเกาะสองของเมียนมา และดูเรื่องการขุดคลองคอคอดกระ แต่เชื่อไหม ค่าเครื่องบินแพงมาก (ราวๆ 5,000 บาท) ถ้าลงระนอง แต่ถ้าลงชุมพรหรือสุราษฎร์แล้วต่อรถไป ก็อีก 3-4 ชั่วโมง ยังต้องลงทุนเช่ารถอีก (รวมแล้วก็คงเกิน 5,000 บาท) ภริยาเลยหาที่เที่ยวที่มาเก๊าและฮ่องกงแทน ปรากฏว่าค่าตั๋วไปมาเก๊าถูกกว่าเสียอีก ก็เลยเลือกมาเก๊าแทน แล้วค่อยเดินทางต่อไปฮ่องกง จะได้มีประสบการณ์เดินทางข้าม 2 ดินแดนนี้

            พวกเราเดินทางไปในวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2566 เวลาเกือบ 6 โมงเย็น ไปถึงมาเก๊าก็ราว 2 ทุ่มเศษ แล้วก็เช็คอินเข้าโรงแรมนอนเลย ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นการพนันที่กาสิโนไหน กะว่าวันรุ่งขึ้นค่อยท่องเที่ยว คืนนั้นก็นอนที่โรงแรมตรงข้ามสนามบินเลย สามารถเดินข้ามจากสนามบินได้เลย  สนนราคาก็ราว 3,500 บาท (ไม่มีอาหารเช้า) ก็ไม่เป็นไร หาทานอะไรแถวนั้นได้ ประหยัดดี จะได้ลดความอ้วนด้วย

            คนไปเที่ยวมาเก๊าจำนวนมาก คงต้องการไปเล่นการพนันเพราะที่มาเก๊ามีกาสิโนถึง 30 แห่ง จากที่เคยมีถึง 42 แห่ง ในปี 2562 (ก่อนโควิด) แต่ขณะนี้กำลังสร้างเพิ่มขึ้นใหม่อีก คงจะฟื้นตัวแล้ว ผมเห็นนักท่องเที่ยวมากมาย และคนไทยก็ไปเที่ยวเป็นจำนวนมากเช่นกัน กาสิโนเหล่านี้สร้างรายได้ให้กับมาเก๊าถึงเกือบ 2 แสนล้าน เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของพื้นที่แห่งนี้

            ขอแนะนำมาเก๊า สักหน่อยว่าที่นี่มีชื่อทางการว่า “เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน” ปกครองโดยประเทศโปรตุเกสก่อนพ.ศ. 2542 (เป็นอาณานิคมของยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดในจีน ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16) ตอนนี้มาเก๊ากลับมาเป็นของจีนแล้ว โดยมีฐานะเป็น “เขตบริหารพิเศษ” ของจีนภายใต้หลักการ “หนึ่งประเทศสองระบบ” เป็นเวลา 50 ปี จากวันที่ 19 ธันวาคม 2542 จนถึงปี วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2592

            ในวันแรกของการท่องเที่ยวที่มาเก๊า คือวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2566 นอกจากพวกเราขึ้นรถประจำทางแล้ว ทั้งภริยาและผมก็เดินด้อมๆ ไปตามแหล่งท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันโดยในวันดังกล่าวเดินถึง 26,690 ก้าว หรือ 18.61 กิโลเมตร เลยทีเดียว แต่ก็ไม่เหนื่อยอะไรมากมายนักเพราะมีแหล่งท่องเที่ยวให้ชมมากมาย ละลานตาไปหมด แม้แต่กาสิโนก็ได้ไป แต่เพียงแค่ไปถ่ายรูป (ถ่ายได้แต่ภายนอก) เท่านั้น ไม่ได้เล่นการพนันเลย เพราะไม่ศรัทธาแนวทางนี้!

            ในวันเดียวกันช่วงเย็นๆ พวกเราก็นั่งเรือด่วนแบบ Turbo Jet จากมาเก๊าไปฮ่องกง เจอเจ้าหน้าที่หลอกให้ไปซื้อตั๋วแบบ VIP ราคา 932 บาท จากราคาปกติ 700 บาท แต่ก็ดี ได้นั่งชั้นบนของเรา (วิวสวยกว่า) แถมยังมีสปาเก็ตตี้ให้รับประทานพร้อมน้ำและของขบเคี้ยว ขาลงยังได้ลงก่อนในฐานะ VIP โดยถ้าเป็นชั้นธรรมดา ก็ต้องลงทีหลัง (ระบอบศักดินาซะด้วย)  พอถึงฮ่องกงเวลาราว 6 โมงเย็น ก็ยังมีโอกาสได้เดินไปดู Avenue of Stars ที่ฝั่งเกาลูน มามองวิวเกาะฮ่องกง ซึ่งมีอาคารเปิดไฟสวยงามเต็มไปหมด

            ส่วนวันที่สองของการเที่ยวก็คือวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2566 พวกเราก็เที่ยวไปตามจุดท่องเที่ยวที่คนอื่นไม่ไป เช่น ไม่ได้ไปเที่ยววัด (ขออภัยท่านผู้มีจิตศรัทธาสายบุญด้วย) ไม่ได้ไปเที่ยวเขา ไม่ได้ไปเที่ยวกระเช้า หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ พวกเรานั่งรถไฟฟ้า (ซึ่งซื้อเป็นแบบเหมารายวันในสนนราคา 400 บาท ขึ้นได้ไม่จำกัดตลอด 1 วัน) ไปถึง Tsuen Wan ทางซีกตะวันตกสุดจุดหนึ่งของเกาลูน ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งสะพานลอย เพราะมีเครือข่ายสะพานลอยที่ทอดยาวไปยังห้างสรรพสินค้าทุกแห่งในใจกลางเมือง

            หลังจากนั้นพวกเราก็ไปดูแหล่งชุมชนแฟลตที่เก่าแก่และมีคนจนอยู่กันมากที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง เดิมที่นี่เป็นแหล่งของชนชั้นแรงงาน แต่เดี๋ยวนี้มีผู้ใช้แรงงาน (แม่บ้าน) จากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียเข้ามาอยู่มากมาย ที่ย่านนี้มีอาคารบ้านช่องที่มีความเป็นมาอันยาวนาน เก่าคร่ำคร่า แต่ก็เริ่มมีอาคารสูงใหม่ๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ว่ากันว่าเป็นแหล่งจับจ่ายสินค้าราคาไม่แพง และมีอาหารอร่อยด้วย

            พวกเรายังไปที่ Quarry Bay ในฝั่งฮ่องกง ซึ่งมีอาคารเก่าคร่ำคร่าสูงประมาณ 20 ชั้น ชื่อ Yuck Fat Building มีห้องชุดอยู่กันถึง 3,800 ห้อง มีอายุ 52 ปีแล้ว (นับถึงปี 2566) แต่สภาพยังแข็งแรงเพราะที่นี่มีการตรวจสอบอาคารทุกปี ทั้งนี้ราคาขายห้องชุดขนาด 33.4 ตารางเมตร ขายถึง 17.7 ล้านบาท หรือตกตารางเมตรละ 530,000 บาท ทั้งนี้ได้ค่าเช่าเดือนละ 46,000 บาท หรือมีอัตราผลตอบแทน 3% ซึ่งก็ไม่สูงมากนัก

            ยิ่งกว่านั้นพวกเรายังไปที่ Amoy Garden ฝั่งเกาลูน ที่นี่มีห้องชุดราวกันไม่น้อยกว่า 3,000 หน่วย มีประมาณ 8 ทาวเวอร์ ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพราะในปี 2546 ผู้คนที่หมู่ตึกนี้ติดเชื้อไข้หวัดนกหรือโรคซาร์ส จนต้องปิดหมู่ตึกนี้ทั้งหมดไปนานนับเดือน แต่เชื้อก็ไม่หยุดแพร่ในหมู่ตึกนี้ เพราะโรคซาร์ส สามารถแพร่ต่อทางท่อระบายน้ำ ต่างจากโควิด-19 ที่ติดผ่านลมหายใจเท่านั้น  ผู้ติดเชื้อโรคซาร์ส จะเสียชีวิตราว 10-15% ในขณะที่โควิด-19 จะมีผู้เสียชีวิตราว 1-2% เท่านั้น  อย่างไรก็ตามราคาห้องชุดที่สร้างเสร็จในปี 2530 ราคาเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ที่เกิดเชื้อโรคซาร์สถึง 10 เท่า เพราะตอนนั้นผู้คนกลัว เลยขายถูกๆ แต่ตอนนี้ถือว่าเป็นที่อยู่อาศัยคุณภาพ มีศูนย์การค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย

            สำหรับวันที่ 3 ของการท่องเที่ยว (วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม 2566) พวกเราไปเที่ยวอดีตสนามบินไคตักที่อยู่ใจกลางเมือง ที่ขณะนี้พัฒนาใหม่เป็นอาคารชุดพักอาศัย สำนักงานและศูนย์การค้า ตลอดจนที่พักของคนจนๆ อีกด้วย  ที่ฮ่องกงเขาไม่ได้เอาสนามบินไปทำสวนสาธารณะแบบที่ทำอย่างยอดฮิตในประเทศไทย เขาพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และเขาไม่ได้ให้นักพัฒนาที่ดินรายเดียวมาทำ เพราะทำให้เกิดการผูกขาด และหากเจ๊งไป ก็จะยุ่งยากมาก เขาแบ่งที่ดินเป็นแปลงๆ ให้แต่ละรายมาซื้อ (เช่าระยะยาว) หรือประมูลไปสร้างต่ออีกทีหนึ่ง 

            นอกจากนี้พวกเรายังไปดูอาคารชุดราคาแสนแพง และอื่นๆ จนกระทั่งได้เวลาบ่ายแก่ๆ ก็มานั่งรถบัสกลับไปมาเก๊าเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับ ปรากฏว่ารถบัสราคาถูกกว่านั่งเรือ ใช้ระยะเวลาก็พอๆ กัน คือค่าตั๋วรถบัสเป็นเงินประมาณ 300 บาท ส่วนผมที่อายุ 65 ปีแล้วได้ส่วนลด จ่ายเพียง 150 บาทเท่านั้น  คนขายตั๋วไม่ต้องถามอายุผม ก็รู้ว่าผมอายุถึงเกณฑ์แล้ว (จะดีใจหรือเสียใจดี)  ขณะนี้มีสะพานจากฮ่องกงไปมาเก๊าแล้ว บางส่วนของสะพานก็เจาะภูเขาบ้าง บ้างก็มุดลงทะเล แต่ส่วนใหญ่เป็นสะพานทอดยาวกลางทะเล ทำให้เดินทางได้ตรงและสะดวกมาก สิริรวมแล้ว พวกเรากลับมาถึงบ้านในกรุงเทพมหานครราวเที่ยวคืนเศษ เลยมาถึงวันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2566 มานิดหน่อย

            หลายท่านอาจสงสัยว่าไม่ได้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังบ้างหรือ ผมก็คงต้องบอกว่าเคยไปมาหมดแล้ว และว่าไม่ใช่สายบุญ หรือสายการพนันเสียด้วย ส่วนแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ในฮ่องกงและมาเก๊าก็ไม่อยากไป อาหารสุดอร่อยในฮ่องกงและมาเก๊าก็ไม่ได้ไปลองลิ้มชิมรสเลย รู้สึกเสียเวลา และเสียเงินมากไป มีเพียงมื้อเดียวในคืนวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม ที่พันธมิตรทางธุรกิจพาไปรับประทาน Hot Pot อาหารทะเลรสเลิศ ซึ่งสัตว์หลายตัวยังเป็นๆ อยู่เลย นำมาต้ม-ลวกใส่หม้อ (บาปกรรมๆ) คืนนั้นผมเลยทานได้ไม่มากนัก
            นี่แหละคือรสชาติอีกแบบหนึ่งของการท่องเที่ยวตามสไตล์ของผมและศรีภริยาในฮ่องกงและมาเก๊าที่มาแบ่งปันให้ได้เห็นกัน โดยทั้งนี้เน้นสายอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ

 

 

 

อ่าน 1,213 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved