อ่าน 1,553 คน
AREA แถลง ฉบับที่ 21/2558: วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม 2558
นิราศกรุงกัวลาลัมเปอร์

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
sopon@area.co.th

          ขอเล่าเรื่องนอนค้างสนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ และปกิณกะที่น่าสนใจ เผื่อจะแก้ไขปัญหาโจรใต้บ้านเราได้ด้วยนะ ลองอ่านดูครับ
          ในระหว่างวันที่ 18-21 มกราคม 2558 นี้ ผมได้รับเชิญจากสมาคมอาจารย์อสังหาริมทรัพย์ในภาคพื้นแปซิฟิก ซึ่งใช้ชื่อว่า Pacific Rim Real Estate Society ให้ไปบรรยายและเข้าร่วมประชุม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ งานมีตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม แต่งานยุ่งมาก ก็เลยไม่ได้ไปร่วมงานนำเสนอผลงานวิจัยของเหล่านักศึกษาปริญญาเอก และงานเลี้ยงรับรอง ผมตั้งใจไปประชุมระหว่างวันที่ 19-21 เป็นหลัก
          ผมบินด้วยสายการบินแอร์เอเซีย เพื่อนคนหนึ่งของผมชื่อ ดร.อิสกันดาร์ บอกว่าไม่กลัวหรือ เพิ่งตกเมื่อเดือนก่อนนะ ผมบอกไม่กลัว แม้จะรู้สึกว่ากัปตันสายการบินนี้จะบินดุเดือดกว่ากัปตันการเงินไทยที่บินอย่างละมุนละไมกว่า เช่น วิ่งผ่านเมฆอย่างไม่เกรงใจเทวดา เครื่องสั่นไปหมด ผมยิ่งกลัวเครื่องบินอยู่เสียด้วย
          ผมเลือกไปเที่ยวบินเวลา 21:00 น. เพื่อไปถึงเวลา 00:15 หรือเลยเที่ยงคืนไปแล้ว 15 นาที  เสร็จแล้วผมก็หามุมสงบนั่งหลับซะที่สนามบินนั้น ประหยัดค่าที่พักไป 1 คืน ทั้งนี้เพราะเขาไม่ได้ออกค่าที่พักให้นั่นเอง และอีกอย่างจะได้ "โชวพาว" (Show Power) ทดสอบสมรรถภาพร่างกายว่ายังทนทานต่อการบำเพ็ญ "ทุกรกิริยา" ไหวหรือไม่
          รุ่งเช้าแทนที่จะนั่งแท็กซี่หรือรถไฟด่วนเข้าเมือง (ราคาราว 800 บาท) ผมก็นั่งรถประจำทางเข้าเมือง ต้นสายจากสนามบินเลยครับ สนนราคาก็แค่ 100 บาท ใช้เวลาเดินทาง 90 นาที ด้วยเพราะผมอดนอน ผมเลยนอนหลับยาวตลอดทางจนถึงป้ายสุดท้าย จนคนขับต้องลุกขึ้นมาปลุกผม ผมก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาต่อรถประจำทางในเมือง แล้วเดินอีกราว 2 กิโลเมตร จึงถึงโรงแรมห้าดาวที่จัดประชุมในเวลา 08:30 ล้างหน้าล้างตาอีกรอบ ใส่สูทผูกไท เข้าไปนั่งรอพิธีเปิดงานได้ทันพอดี
          นอกจากผมมาประชุมงานนานาชาตินี้ ซึ่งมีผมเป็นอาจารย์ด้านอสังหาริมทรัพย์คนไทยเพียงคนเดียวที่ไปร่วมนำเสนอบทความวิชาการแล้ว ผมยังได้นัดหมายกับสมาคมผู้ซื้อบ้านแห่งชาติมาเลเซีย เพื่อเรียนรู้การคุ้มครองผู้บริโภค และยังได้ไปพบเพื่อนเก่า ดร.อิสกันดาร์ อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังมาเลเซียเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันด้วย
          เป็นที่ทราบกันดีทั้งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า ชาวบ้านต่างเตรียมรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะตกต่ำในปี 2558  ที่นั่นเขาไม่ปกปิดบิดเบือนข้อมูลกัน เขารู้ว่าประเทศของเขามีรายได้จากการผลิตน้ำมันเป็นหลัก แต่ราคาน้ำมันในปี 2558 ก็ยังคงจะไม่ดี ดังนั้นเศรษฐกิจมาเลเซียจึงจะตกต่ำเป็นแน่ ส่วนราคายางเขาไม่ห่วง เพราะเขาปลูกยางน้อยลงมาก เขาเตรียมการมาแล้วโดยการปลูกปาล์มน้ำมันแทน
          ชาวบ้านมาเลย์กำลังตำหนิรัฐบาลของเขาหลายเรื่อง เช่น การเอาเงินไปลงทุนในตะวันออกกลางเป็นอันมาก  แถมเป็นการลงทุนที่น่าจะมีโอกาสขาดทุนสูงเสียด้วย แต่รัฐบาลของเขาก็ใจกล้า กล้าตัดงบประมาณถึง 15,000 ล้านริงกิต หรือ 150,000 ล้านบาท ไม่ใช่แบบพี่ไทยที่เอาแต่ทำงบประมาณขาดทุนอยู่ร่ำไป ชาวบ้านยังนินทาถึงนายกรัฐมนตรีที่มีประวัติที่ไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะกรณีที่เคยมีกิ๊กเป็นชาวมองโกเลีย และต่อมานางก็ตายอย่างมีปริศนา เพียงแต่สาวไม่ถึงผู้บงการเท่านั้น
          อีกเรื่องที่ชาวบ้านไม่พอใจก็คือตัวภริยานายกรัฐมนตรีที่ชอบสะสมกระเป๋าแบรนด์เนม แบบแม่ชีไทยรายหนึ่ง  ไม่ใช่ยี่ห้อ "หลุยติงต๊อง" แต่เป็น "Hermes Birkin" ใบละเป็นล้าน โดยนางมีเป็น Collection ยกชุดเลย คงคล้ายนางอีเมลดาที่ชอบสะสมรองเท้า แถมนางยังเป็น "หลังบ้าน" ที่ชอบแอบไปเอี่ยวเป็นหุ้นส่วนลับ ๆ ในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ เสียด้วย
          ผมถามเพื่อนถึงรัฐบุรุษอาวุโสคือ ดร.มหาธีร์ มูฮัมหมัด ก็ได้ทราบว่าท่านยังแข็งแรง แม้ปีนี้จะมีอายุ 90 ปีแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นคนแก่ขี้บ่นที่ตำหนินายกรัฐมนตรีและนักการเมืองทั่วไป แม้แต่บรรดากษัตริย์มาเลย์ก็ยังเกรงใจ เพราะ ดร.มหาธีร์ เป็นผู้ที่ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากมีใครไปหมิ่นบรรดากษัตริย์มาเลย์ พระองค์ก็ยังมีสิทธิที่จะไปฟ้องร้องเอง โดยรัฐไม่ได้คุ้มครอง ดร.มหาธีร์ ให้เหตุผลว่า ตอนที่อังกฤษยึดมาเลเซีย ตอนนั้นก็ถือว่าสถาบันได้หายไปแล้ว เพียงแต่เพิ่งฟื้นขึ้นมาใหม่เท่านั้น
          สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาโจรใต้นั้น ดร.อิสกันดาร์เพื่อนผมให้ข้อสังเกตว่า คนไทยที่เข้าไปทำงานในมาเลเซีย น่าจะมีจำนวนถึง 5 ล้านคน และมีความประพฤติเรียบร้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นเป็นอย่างมาก เป็นที่ชื่นชอบของชาวมาเลย์ แต่ปกติเข้าไปได้เพียง 30 วัน ก็ต้องออกมา
          ดังนั้นท่านจึงเสนอให้ไทยกับมาเลเซียทำข้อพันธะพิเศษที่ว่า หากคนไทยเข้าไปทำงานในมาเลเซีย ยินดีให้อยู่ได้นานถึง 3-6 เดือน ขนาดเกาหลีใต้ก็ยังให้คนไทยเข้าไปได้ 3 เดือนโดยไม่ต้องทำวีซ่า หากคนไทยภาคใต้เข้าไปทำงานได้สะดวก มีรายได้ดี ปัญหาโจรใต้ก็คงค่อย ๆ หมดไป เพราะทุกวันนี้ เยาวชนจบการศึกษามาแล้ว ก็แทบหางานทำได้ยาก ข้อนี้ก็หวังว่าทางราชการไทยจะได้พิจารณากันต่อไป
          ด้วยระยะเวลา 3 วัน 3 คืนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ

มีผู้คนนอนรอที่สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์กันมากมาย ผมเลยเอามั่ง ไม่กลัวเสียฟอร์มครับ

ผมไปประชุมงานใหญ่ครับ Pacific Rim Real Estate Society ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

พูดอยู่ตั้งนาน ได้กระดาษแสดงว่าได้พูดมาแผ่นเดียว (ฮา)

ไป 3 วัน 3 คืน มีกระเป๋าใบแค่นี้ จริงๆ ใบเล็กกว่านี้อีก นี่เป็นใบที่เขาให้มา เลยใส่ทับลงไปเลยครับ


ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved