เมื่อวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 ได้ทราบข่าวร้ายว่า อ.จอน อึ้งภากรณ์ ได้จากไปอย่างสงบในวัย 77 ปี นับเป็นบุคคล ที่น่าเคารพยิ่งของผมท่านหนึ่ง
ผมเคยมี อ.จอน อึ้งภากรณ์ เป็นเพื่อนร่วมงานในชีวิตการทำงานครั้งแรก เมื่อปี 2523 หรือ 45 ปีก่อน โดยช่วงต้นปีดังกล่าว ผม จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ไปทำงานที่โครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามคำแนะนำของ ศ.ยุพา วงศ์ไชย โดยโครงการดังกล่าวเพิ่งเปิดตัวและมีเจ้าหน้าที่ชุดแรกประกอบด้วย อ.จอน ในฐานะผู้อำนวยการโครงการ มีคุณภูมิธรรม เวชยชัย เป็นหัวหน้าฝ่ายฝึกอบรม คุณยงชัย เจิดอำไพ และผมเป็นเลขานุการโครงการ อ.จอน จึงเป็นเพื่อนร่วมงานคนแรกของผม
สมัยนั้นพวกเราถือเป็น Gang of Four หรือแก๊งสี่คน (四人幫) เพราะมีอยู่ด้วยกันสี่คนจริงๆ ในช่วงปีแรก พวกเราสูบบุหรี่กันหนัก (ยกเว้นคุณยงชัยที่ไม่สูบ) สูบกันในห้องพักอาจารย์ ควันโขมงจนอาจารย์ท่านอื่นบ่น (สมัยนั้นการสูบบุหรี่เริ่มเป็นที่รังเกียจบ้างแล้ว) จำได้ว่าครั้งหนึ่ง อ.จอนกับผมไปหาคุณมีชัย วีระไวทยะ ยังไปนั่งสูบบุหรี่กันเลย
พวกเรามีความสุขกับการทำงานนี้ซึ่งคล้ายกับโครงการบัณฑิตอาสาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยส่งอาสาสมัครไปทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ อ.จอน นับเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่าเคารพโดยแท้
1. เป็นคนน้ำใจกับเพื่อนร่วมงานเสมอ ไม่เคยถือโทษโกรธใครเลย
2. ไม่ถือตัว ไม่มีฟอร์มดังเช่นพวกผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนในสังคม
3. วางแผนอย่างรอบคอบกระทั่งคำนวณระยะเวลาในการเดินทางไปกลับสถานที่ต่างๆ อย่างแม่นยำ
4. ขยันขันแข็งในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นแบบอย่างแก่เพื่อนร่วมงานทั้งหลาย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีการตรวจสอบพบว่าผมในฐานะเลขานุการโครงการทำเงินหายไปเป็นเงินประมาณ 7,000 บาท โดยหาที่มาที่ไปไม่ได้ (คล้ายกับสมัยที่ผมเป็นหัวหน้าห้องในโรงเรียน เก็บเงินค่าทำหนังสืออนุสรณ์แล้วเก็บเงินไม่ครบตามจำนวนที่ลงไว้) คณะกรรมการแต่งตั้งให้ อ.จอน สอบสวนผมในเรื่องนี้ แล้วก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของผม คงเป็นเพราะระบบการเบิกจ่ายเงินที่ไม่รัดกุมจึงขาดใบเสร็จไป
นี่นับว่า อ.จอน มีความเป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง จนเวลาผ่านไปราว 15 ปี อ.จอน และผมต่างก็แยกย้ายไปทำงานที่อื่นแล้ว แต่วันหนึ่งได้กลับมาพบกันที่โครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม (ซึ่งตอนนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมแล้ว) ผมก็ได้ประกาศให้ อ.จอน และทุกท่านในมูลนิธิทราบว่าถึงแม้ผมไม่ได้ทำเงินหาย แล้วก็อยากรับผิดชอบเพราะได้ประกอบธุรกิจพอมีรายได้บ้าง จึงคำนวณเป็นดอกเบี้ยทบต้นรวมกันเป็นเงินประมาณ 30,000 บาทบริจาคให้มูลนิธินี้ไป
สำหรับโครงการนี้ ผมทำงานอยู่ที่นี่ได้เพียงสองปี รับสมัครอาสาสมัครได้ 3 รุ่น ก็ลาออกไปเตรียมตัวเรียนปริญญาโทต่อ ส่วน อ.จอน ยังคงทำงานอยู่รวมราว 10 ปีก่อนที่จะออกไปทำงานด้านช่วยเหลือผู้ติดเอดส์และอื่นๆ นานๆ จึงจะได้มีโอกาสพบ อ.จอน สักครั้งหนึ่ง แต่ก็มีความรู้สึกที่ดีงามกับ อ.จอนเสมอมา
สิ่งที่ผมประทับใจที่สุด เกี่ยวกับ อ.จอน ก็คือ ถ้าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เปลี่ยนสีแปรธาตุ ลมเพลมพัด เช่นพวกผู้นำขบวนในเอ็นจีโอหลายคน เป็นคนที่รู้จักแยกแยะ หนักแน่นและยืนหยัดในความคิดที่เป็นประชาธิปไตย ลาภยศสักการะของฝ่ายเผด็จการทรราชไม่อาจซื้อท่านได้ นับว่าเป็นบุคคลที่พึงเคารพ
ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ อ.จอน ด้วยครับ