ผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมชะลอการเปิดตัว ซึ่งในเดือนเมษายน 2568 มีโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 10 โครงการ 688 หน่วย มูลค่ารวม 12,506 ล้านบาท และไม่มีคอนโดมิเนียมเลย
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวถึงภาพรวมการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เดือนเมษายน 2568 มีเพียง 10 โครงการ ถือว่าน้อยที่สุดรอบ 20 ปี น้อยกว่าเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจำนวน 8 โครงการ ส่งผลให้จำนวนหน่วยขาย และมูลค่าโครงการลดลง แต่ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยยังคงเพิ่มขึ้น อาจเนื่องมาจากเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง และเพิ่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวใหม่ในเดือนนี้ โดยเฉพาะอาคารชุดที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากแผ่นดินไหว ในเดือนนี้จึงไม่มีการเปิดตัวอาคารชุดเลย
ลักษณะการเปิดตัวในเดือนนี้เป็นที่อยู่อาศัยทั้งหมด 10 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายเปิดใหม่รวม 688 หน่วย ลดลงจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจำนวน 2,836 หน่วย (ลดลง -80.5%) โดยประเภทที่มีจำนวนหน่วยเปิดขายใหม่มากที่สุดในเดือนนี้ คือ บ้านเดี่ยว 79.4% รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ 16.7% ส่วนอันดับ 3 คือ อาคารพาณิชย์ 16.3% ของจำนวนหน่วยขายที่เปิดขายใหม่ทั้งหมด และผู้ประกอบการร้อยละ 88 ยังคงเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และบริษัทในเครือที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด โดยเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบที่ระดับราคาปานกลางจนถึงระดับราคาแพงเป็นสำคัญ
หากพิจารณาในด้านมูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดใหม่ในเดือนเมษายน 2568 นี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 12,506 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจำนวน 8,499 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ -40.5% ประเภทที่มีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด คือ บ้านเดี่ยว 91.6% รองลงมาคือ บ้านแฝด 6.2% ส่วนอันดับ 3 คือ อาคารพาณิชย์ 1.3% ของมูลค่าการพัฒนาทั้งหมดตามลำดับ ดังนั้นภาพรวมของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนนี้ส่วนใหญ่ หากเป็นบ้านเดี่ยว จะเน้นที่ระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ที่ราคา 5.10 ล้านบาท เป็นสำคัญ โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังจ่ายสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ภาพรวมโครงการที่เปิดขายใหม่ในเดือนนี้จำนวนโครงการ หน่วยขาย และมูลค่าโครงการลดลง แต่ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นการผลิตที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีระดับราคาปานกลางค่อนข้างสูงถึงระดับราคาสูง เป็นสำคัญ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 205% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของเดือนก่อน โดยราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของเดือนนี้มีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 18.178 ล้านบาท แต่เดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยที่ 5.961 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเดือนนี้ที่เน้นกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง ที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริงที่ต้องการบ้านแนวราบที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นกลาง และเขตติดต่อเมือง ที่สามารถเดินทางเข้าสู่เขตกรุงเทพชั้นในได้สะดวกเป็นสำคัญ
พิจารณาอัตราการขายได้ จะพบว่าในเดือนเมษายนนี้ มีอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ 7.8% ซึ่งลดลงจากเดือนที่ผ่านมาที่มีอัตราการขายได้ที่ 18.6% ต่อเดือน โดยประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการขายได้สูงสุด คือทาวน์เฮ้าส์ที่ ระดับราคา 5-10 ล้านบาท จำนวน 110 หน่วย ขายได้แล้ว 25 หน่วย (23%) รองลงคือ บ้านเดี่ยวที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท จำนวน 214 หน่วย ขายได้แล้ว 15 หน่วย (7%)
เมื่อพิจารณาถึงผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนนี้ จะพบว่าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (มหาชน) มีจำนวน 4 บริษัท คือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัททั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง หากเปรียบเทียบการพัฒนาระหว่างบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทในเครือ และบริษัททั่วไป มีรายละเอียดดังนี้