“พรุ่งนี้” ไม่สามารถใช้เป็นข้อพิสูจน์ “ชาติหน้า” ได้
  AREA แถลง ฉบับที่ 0483/2568: วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 

           อ.เบียร์และเกจิหลายคนอ้างว่าการมีวันพรุ่งนี้ แสดงว่ามีชาติหน้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “พรุ่งนี้” ไม่สามารถใช้เป็นข้อพิสูจน์ “ชาติหน้า” ได้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) มาแสดงเหตุผลชัดๆ ให้ฟัง

            คนถาม: ชาติหน้ามีจริงไหม?
            อ.เบียร์: มีจริง
            คนถาม: รู้ได้อย่างไร?
            อ.เบียร์: พรุ่งนี้มีจริงไหม?
            คนถาม: เอ้า รู้ได้ไง มันยังไม่ถึง?
            อ.เบียร์: ก็เพราะว่ามันเคยมีพรุ่งนี้มาแล้วไง

            แม้จะดูเหมือนเป็นคำตอบที่ “ฉลาด” แต่ในความเป็นจริง การเปรียบเทียบเช่นนี้เข้าข่าย ตรรกวิบัติแบบอุปมาอุปไมยเทียม (False Analogy) โดยมีข้อบกพร่องหลายประการ ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ และปรัชญาเชิงตรรกะ

            1. ความแปรปรวนของ “วัน”: วันพรุ่งนี้ไม่ใช่ค่าคงที่

            หนึ่งในข้อผิดพลาดสำคัญของการเปรียบเทียบข้างต้นคือการสมมุติว่า “พรุ่งนี้ เป็นสิ่งที่แน่นอนและตายตัว ในเชิงวิทยาศาสตร์ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เนื่องจาก "วัน" ไม่ใช่หน่วยเวลาที่คงที่ (non-constant temporal unit) ตลอดประวัติศาสตร์ทางธรณีกาล (geologic timescale) โลกมีการชะลอความเร็วในการหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจาก แรงเสียดทานจากแรงน้ำขึ้นน้ำลง (tidal friction) ที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงจันทร์

          มาดูข้อมูลทางเทคนิค:

            จากหลักฐานของการวิเคราะห์ tidal rhythmites, stromatolitic lamination และ circadian growth bands ในฟอสซิล ทำให้ทราบว่า

  • เมื่อ ~1.4 พันล้านปีก่อน: ความยาวของหนึ่งวันอยู่ที่ ~18.4 ชั่วโมง
  • เมื่อ ~620 ล้านปีก่อน: ประมาณ 21–22 ชั่วโมง
  • ปัจจุบัน: วันสุริยคติเฉลี่ย (mean solar day) อยู่ที่ 86,400 วินาที แต่มีการสวิง (variation) ระดับ มิลลิวินาทีต่อศตวรรษ

            ส่วนการวัดด้วยเทคโนโลยี VLBI (Very Long Baseline Interferometry) และ ดาวเทียมเลเซอร์ (Satellite Laser Ranging) แสดงให้เห็นว่า

  • โลกชะลอความเร็วรอบตัวเองประมาณ 1.7–2.3 มิลลิวินาทีต่อศตวรรษ
  • ดวงจันทร์ถอยห่างจากโลกที่อัตรา 3.82 ซม./ปี

            กล่าวคือ แม้แต่วัน “พรุ่งนี้ ก็ไม่เคยมีความยาวเท่ากันในอดีต และจะไม่เท่ากันในอนาคต ดังนั้นการกล่าวว่า “เรารู้ว่าพรุ่งนี้มีจริงเพราะมันเคยเกิดขึ้น” จึงละเลยความจริงทางฟิสิกส์พื้นฐานว่าแม้แต่วันเองก็ ไม่มีความเสถียรทางเวลา (temporal stability)

            2. พรุ่งนี้คือ constructible future ส่วนชาติหน้าคือ “non-empirical hypothesis”

            แม้ “พรุ่งนี้” จะไม่คงที่ แต่มนุษย์สามารถ สร้างแบบจำลองอนาคต (predictive models) ขึ้นมาวัดและคำนวณได้ โดยอิงกับ:

  • กลศาสตร์ท้องฟ้า (celestial mechanics)
  • ทฤษฎีแรงโน้มถ่วง (Newtonian and relativistic mechanics)
  • ระบบเวลาอะตอม (Atomic time) และ เวลาประสานกันระหว่างระบบดาวเทียม (GPS time sync)

            ดังนั้น “พรุ่งนี้” จึงเป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ด้วย instrument-based extrapolation ซึ่งอยู่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ทดลอง (empirical science) ในทางตรงกันข้าม “ชาติหน้า” เป็นแนวคิดแบบ metaphysical proposition ซึ่ง:

  • ไม่สามารถสังเกตได้ผ่านประสาทสัมผัส (non-observable)
  • ไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดที่สามารถตรวจวัดหรือทดสอบได้
  • อยู่ในขอบเขตของความเชื่อ อภิปรัชญา หรือศาสนา ซึ่งไม่อยู่ในระเบียบวิธีเชิงประจักษ์ (non-falsifiable)

            3. ปัญหาของการใช้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Fallacy)

            การที่ “พรุ่งนี้เคยเกิดขึ้น” ไม่ได้หมายความว่า “พรุ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นอีก” เสมอไป นักปรัชญา David Hume ตั้งข้อสังเกตใน “Problem of Induction” ว่า การใช้เหตุผลอุปนัยเพื่ออนุมานเหตุการณ์ในอนาคตจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่มีหลักประกันว่าจะเป็นจริงเสมอ เช่นเดียวกับที่ Nassim Nicholas Taleb กล่าวถึง Black Swan Problem ว่ามนุษย์มักคาดการณ์อนาคตโดยใช้แบบแผนในอดีต แต่ประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นอยู่เสมอว่า “สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น” ก็สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า

            4. ความเปรียบเทียบความต่างของโครงสร้างเชิงความรู้ (Epistemic Structure)

            จากการเปรีบเทียบความต่างของโครงสร้างความรู้ดูได้จากตารางต่อไปนี้:

            ด้วยเหตุนี้ เราก็สามารถพาไปดูวันพรุ่งนี้ โดยหากเรานั่งเครื่องบิน หรืออยู่บนยานอวกาศ เราก็จะเห็นโลกของเรา เช่น ในด้านสว่าง คือวันนี้ ส่วนอีกด้านที่มืดอยู่ก็คือวันพรุ่งนี้ โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา วันพรุ่งนี้ที่เราเห็นในขณะนี้ก็คือวันนี้ ถ้าเราขึ้นยาวอวกาศแล้ววิ่งไปอีกด้านของโลก เราก็จะพบเห็นวันพรุ่งนี้ (ที่ยังเป็นเวลากลางคืนอยู่) การพิสูจน์นี้ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็คือเครื่องบินหรือยานอวกาศ ไม่ใช่พิสูจน์ด้วย “พลังจิต” หรืออาจเป็นการมโนฟั่นเฟือนไปเอง นี่คือความแตกต่าง

 

            ข้อสรุป

            โดยสรุปแล้ว การเปรียบเทียบ “พรุ่งนี้” กับ “ชาติหน้า” เป็นการเปรียบที่ผิดหลักตรรกะ

  • “พรุ่งนี้” แม้ไม่แน่นอนในเชิงเวลาสัมบูรณ์ แต่เป็นสิ่งที่สามารถประมาณได้ด้วยวิทยาศาสตร์และแบบจำลองทางฟิสิกส์
  • “ชาติหน้า” เป็นแนวคิดที่ไม่มีฐานการวัด ไม่มีกลไกการทดสอบ และไม่มีความต่อเนื่องในเชิงประจักษ์
  • การใช้ "พรุ่งนี้" เพื่อยืนยัน "ชาติหน้า" จึงเป็น ตรรกวิบัติแบบ False Analogy(เปรียบเทียบแบบผิดๆ)
  • และยิ่งแย่ลงเมื่อพิจารณาว่าแม้แต่ "พรุ่งนี้" เอง ก็ ไม่ใช่หน่วยเวลาที่เที่ยงตรง ทางกายภาพ

            เราต้องทำให้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา ประชาชนไม่พึงถูกหลอกด้วยเหตุผลที่เป็นตรรกวิบัติ ทุกคนควรฉุกคิด วิเคราะห์ แยกแยะให้ชัดเจน อย่าเชื่อใครเพียงเพราะเป็นพระเป็นครู

 

อ่าน 161 คน
2025 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved