อ.เบียร์และเกจิหลายคนอ้างว่าการมีวันพรุ่งนี้ แสดงว่ามีชาติหน้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “พรุ่งนี้” ไม่สามารถใช้เป็นข้อพิสูจน์ “ชาติหน้า” ได้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) มาแสดงเหตุผลชัดๆ ให้ฟัง
คนถาม: ชาติหน้ามีจริงไหม?
อ.เบียร์: มีจริง
คนถาม: รู้ได้อย่างไร?
อ.เบียร์: พรุ่งนี้มีจริงไหม?
คนถาม: เอ้า รู้ได้ไง มันยังไม่ถึง?
อ.เบียร์: ก็เพราะว่ามันเคยมีพรุ่งนี้มาแล้วไง
แม้จะดูเหมือนเป็นคำตอบที่ “ฉลาด” แต่ในความเป็นจริง การเปรียบเทียบเช่นนี้เข้าข่าย ตรรกวิบัติแบบอุปมาอุปไมยเทียม (False Analogy) โดยมีข้อบกพร่องหลายประการ ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ และปรัชญาเชิงตรรกะ
หนึ่งในข้อผิดพลาดสำคัญของการเปรียบเทียบข้างต้นคือการสมมุติว่า “พรุ่งนี้” เป็นสิ่งที่แน่นอนและตายตัว ในเชิงวิทยาศาสตร์ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เนื่องจาก "วัน" ไม่ใช่หน่วยเวลาที่คงที่ (non-constant temporal unit) ตลอดประวัติศาสตร์ทางธรณีกาล (geologic timescale) โลกมีการชะลอความเร็วในการหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจาก แรงเสียดทานจากแรงน้ำขึ้นน้ำลง (tidal friction) ที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงจันทร์
จากหลักฐานของการวิเคราะห์ tidal rhythmites, stromatolitic lamination และ circadian growth bands ในฟอสซิล ทำให้ทราบว่า
ส่วนการวัดด้วยเทคโนโลยี VLBI (Very Long Baseline Interferometry) และ ดาวเทียมเลเซอร์ (Satellite Laser Ranging) แสดงให้เห็นว่า
กล่าวคือ แม้แต่วัน “พรุ่งนี้” ก็ไม่เคยมีความยาวเท่ากันในอดีต และจะไม่เท่ากันในอนาคต ดังนั้นการกล่าวว่า “เรารู้ว่าพรุ่งนี้มีจริงเพราะมันเคยเกิดขึ้น” จึงละเลยความจริงทางฟิสิกส์พื้นฐานว่าแม้แต่วันเองก็ ไม่มีความเสถียรทางเวลา (temporal stability)
แม้ “พรุ่งนี้” จะไม่คงที่ แต่มนุษย์สามารถ สร้างแบบจำลองอนาคต (predictive models) ขึ้นมาวัดและคำนวณได้ โดยอิงกับ:
ดังนั้น “พรุ่งนี้” จึงเป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ด้วย instrument-based extrapolation ซึ่งอยู่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ทดลอง (empirical science) ในทางตรงกันข้าม “ชาติหน้า” เป็นแนวคิดแบบ metaphysical proposition ซึ่ง:
การที่ “พรุ่งนี้เคยเกิดขึ้น” ไม่ได้หมายความว่า “พรุ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นอีก” เสมอไป นักปรัชญา David Hume ตั้งข้อสังเกตใน “Problem of Induction” ว่า การใช้เหตุผลอุปนัยเพื่ออนุมานเหตุการณ์ในอนาคตจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่มีหลักประกันว่าจะเป็นจริงเสมอ เช่นเดียวกับที่ Nassim Nicholas Taleb กล่าวถึง Black Swan Problem ว่ามนุษย์มักคาดการณ์อนาคตโดยใช้แบบแผนในอดีต แต่ประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นอยู่เสมอว่า “สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น” ก็สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า
จากการเปรีบเทียบความต่างของโครงสร้างความรู้ดูได้จากตารางต่อไปนี้:
ข้อสรุป
เราต้องทำให้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา ประชาชนไม่พึงถูกหลอกด้วยเหตุผลที่เป็นตรรกวิบัติ ทุกคนควรฉุกคิด วิเคราะห์ แยกแยะให้ชัดเจน อย่าเชื่อใครเพียงเพราะเป็นพระเป็นครู