เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ในฐานะรองประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย ได้รับมอบหมายจากประธานสภาฯ ให้ไปร่วมประชุม “ปฏิญญาแห่งอนาคต” หรือ “Pact for the Future” ณ โรงแรมพูลแมน ถนนรางน้ำ ในช่วงเวลา 09:00 – 12:30 และมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 100 ท่านา และจึงจัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้น
การประชุมในช่วงแรกเป็นการแนะนำผู้จัดงานและผู้ที่เกี่ยวข้องได้แก่
1. Ms.Michaela Fribert-Storey, UN Resident Coordinator in Thailand
2. นายพืชภพ มงคลนาวิน รองอธิบดี กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
การประชุมในช่วงถัดมาเป็นการแนะนำ “ปฏิญญาแห่งอนาคต” หรือ “Pact for the Future” เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากการประชุมสุดยอดแห่งอนาคต (Summit of the Future) ในเดือนกันยายน 2024 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) และรับมือกับความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ข้อตกลงนี้เน้นการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม และรวมถึงข้อตกลงดิจิทัลระดับโลก (Global Digital Compact) และปฏิญญาเกี่ยวกับคนรุ่นอนาคต (Declaration on Future Generations) ด้วย
ประเด็นสำคัญของ “Pact for the Future” มีเป้าหมายเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป และมีขอบเขตที่ครอบคลุมประเด็นหลากหลาย เช่น สันติภาพ ความมั่นคง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความร่วมมือด้านดิจิทัล ความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิมนุษยชน และมีหลักการสำคัญคือการคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนรุ่นอนาคตในการตัดสินใจ การปกป้องสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมความยั่งยืน การสร้างความเท่าเทียมระหว่างรุ่น
ทั้งนี้ Pact for the Future มีความสำคัญที่ถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษในการปรับปรุงความร่วมมือระหว่างประเทศให้ทันสมัย มีการกำหนดเป้าหมายและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และข้อตกลงนี้ได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลระดับโลกและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากนั้นก็มีการแบ่งกลุ่มเป็น 5 กลุ่มได้แก่:
1. การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการจัดหาเงินทุนเพื่อการพัฒนา
2. สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
3. วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และความร่วมมือด้านดิจิทัล
4. เยาวชนและคนรุ่นอนาคต และ
5. การเปลี่ยนแปลงการกำกับดูแลระดับโลก
ทางผู้จัดการมอบหมายให้ ดร.โสภณอยู่กลุ่มที่ 2 “สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ” ซึ่งที่ประชุมได้ถกกันในหลายมิติ เช่น ปัญหาชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แรงงานบังคับ เช่นพวก Call Centre เป็นต้น ทั้งนี้หัวข้อที่ได้รับมอบหมายไปร่วมถกกันนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับสภาของเราโดยตรง
จากนั้นก็มีการนำเสนอในแต่ละกลุ่มข้างต้นและเมื่อสรุปเรียบร้อยแล้ว ก็ปิดประชุมในเวลา 12:30 น. โดยประมาณ
ผลสรุปได้แก่:
1. การพัฒนาที่ยั่งยืนและการจัดหาเงินทุนเพื่อการพัฒนา เน้นการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และการระดมทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา.
2. สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในกรณีของประเทศไทยก็คือความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้
3. สร้างความร่วมมือเพื่อสันติภาพและความมั่นคงในระดับโลกโดยความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
4. วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความร่วมมือด้านดิจิทัล โดยชี้ให้เห็นถึงการหลอกลวงต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นในสังคม
5. มุ่งเน้นการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นมิติใหม่ของการพัฒนาสังคมในปัจจุบัน
โดยรวมแล้วที่ประชุมให้ความสำคัญกับเยาวชนและคนรุ่นอนาคต ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของเยาวชนและคนรุ่นต่อไปในการตัดสินใจ การเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉมของการกำกับดูแลระดับโลก และการปรับปรุงระบบการกำกับดูแลระดับโลกเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อน
สำหรับในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจและสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทยในฐานะองค์กรธุรกิจก็คือ
1. ด้านการพัฒนาวิทยาศษสตร์และเทคโนโลยีเพราะในสังคมธุรกิจปัจจุบันจำเป็นต้องปรับใช้ AI ในการทำธุรกิจอย่างขนานใหญ่ หาไม่ธุรกิจก็ขาดความสามารถในการแข่งขัน ล้าหลังลงและที่สำคัญอาจจะล้มเหลวลงได้ในที่สุด การ Transform ธุรกรรมต่างๆ ของธุรกิจด้วย AI จึงมีความสำคัญยิ่ง
2. การพัฒนาแรงงานรุ่นใหม่โดยเฉพาะตั้งแต่ Gen Z (พ.ศ. 2540 – 2552) ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และเตรียมตัวสำหรับรับตลาดแรงงานในอนาคตกับ Gen Alpha (พ.ศ. 2553 – 2567) และ Gen Beta (ปี พ.ศ. 2568 – 2582)
3. ในการกำกับดูแลซึ่งเชื่อมโยงไปถึงระดับโลก ได้แก่การมีธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในระดับสากล เพื่อให้กิจการของเราสร้างแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือขององค์กร สินค้าและบริการของเราจึงจะสามารถเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าและผู้ใช้บริการในต่างประเทศ เป็นต้น