อ่าน 963 คน
AREA แถลง ฉบับที่ 73/2555: 28 มิถุนายน 2555
นโยบายของรัฐต่อการให้ต่างชาติซื้อที่ดินในไทย

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
sopon@area.co.th

          ประเทศไทยสามารถอนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ แต่ต้องมีมาตรการที่ดีทางด้านภาษี และมาตรการทางกฎหมายอื่น ตลอดจนการจัดทำฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
          จากที่มีข่าวว่าชาวต่างชาติมาถือครองที่ดินถึง 30% ของที่ดินทั่วประเทศไทยนั้น ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ เพียงแต่เป็นการตั้งสมมติฐานเท่านั้น นัยสำคัญอย่างหนึ่งก็คือประเทศไทยขาดการจัดทำฐานข้อมูลการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติ ซึ่งนับเป็นช่องโหว่ประการหนึ่งที่ควรดำเนินการแก้ไข แต่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ยากเพราะหากมีการทำให้เกิดความโปร่งใส โอกาสที่จะกระทำการทุจริตก็คงมีจำกัด เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าหน้าที่ที่ประกอบการทุจริตได้
          อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลจะจัดการให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์นั้น สมควรดำเนินการดังนี้
          1. ควรให้ต่างชาติเสียภาษีและค่าธรรมเนียมโอนในอัตราสูงกว่าปกติ เช่น ในกรณีสิงคโปร์ กำหนดให้ชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในสิงคโปร์ ต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมโอนประมาณ 10% ของราคา การกำหนดให้เกิดความแตกต่างจากประชาชนในท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้ เช่นกรณีการไปศึกษาต่อต่างประเทศ ชาวต่างชาติหรือคนไทยที่ไปศึกษาต่อยังประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา จะต้องเสียค่าเล่าเรียนสูงกว่าคนท้องถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรเก็บค่าธรรมเนียมในการถือครองเป็นรายปี เช่น ปีละ 1% เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำทะเบียนที่ดินและอำนวยความสะดวกในการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ
          2. ประเทศไทยควรมีระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเช่นประเทศตะวันตกที่จัดเก็บประมาณ 1-3% ของราคาตลาดต่อปี และควรมีภาษีมรดก ซึ่งจัดเก็บประมาณ 30% โดยประมาณ เช่น ในขณะที่บ้านในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันมีราคาตกต่ำเหลือประมาณ 10 ล้านบาทต่อหน่วย หากคนไทยไปลงทุน ก็ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปีละ 200,000 บาท (ในกรณีอัตราภาษีเท่ากับ 2%) ในขณะที่ชาวต่างชาติมาซื้อทรัพย์สินในประเทศไทยโดยไม่เสียภาษีนี้เลย นอกจากนั้นในอนาคตอีก 30 ปีข้างหน้า หากราคาบ้านเพิ่มเป็น 50 ล้านบาท การโอนให้ทายาท ยังต้องเสียภาษีมรดกอีกประมาณ 30% หรือ 15 ล้านบาท ดังนั้น ก่อนที่จะอนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ประเทศไทยควรมีระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีมรดกก่อน หากไม่ก็เท่ากับไทยยกแผ่นดินให้กับคนต่างชาติไปโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
          3. รัฐบาลไทยควรมีนโยบายที่แตกต่างกันต่อนักลงทุนและผู้ที่จะมาซื้อบ้านเป็นบ้านหลังที่สองในประเทศไทย ในกรณีนักลงทุนที่ต้องใช้ที่ดิน เช่น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม รัฐบาลสามารถจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้ใช้สอยโดยไม่คิดมูลค่าแต่คิดค่าใช้จ่ายในการดูแลและบำบัดน้ำเสีย รัฐบาลอาจให้ภาคเอกชนสร้างนิคมอุตสาหกรรมและให้นักลงทุนต่างชาติใช้สอย เพื่อกระตุ้นการจ้างงานภายในประเทศจากการลงทุนด้านอุตสาหกรรม  ส่วนสำหรับผู้ที่หวังจะมาอยู่หลังเกษียณอายุหรือหวังมีที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่สอง ก็สมควรที่จะให้ซื้อหรือเช่าระยะยาวโดยอาจต่อระยะเวลาเช่าจาก 30 ปีเป็น 50 ปี เป็นต้น
          4. ในขณะนี้หากมีการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่ผิดกฎหมาย ให้รัฐบาลอนุญาตให้ชาวต่างชาติเช่าได้โดยถูกกฎหมายปัจจุบัน เช่น 30 ปี และควรมีการลงทุนจัดทำฐานข้อมูลการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ ในกรณีการครอบครองที่ผิดกฎหมาย สมควรที่รัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด
          หากรัฐบาลสามารถสร้างความโปร่งใสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติได้ เชื่อว่าต่างชาติจะมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอีกมาก เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งพำนักที่เป็นที่นิยมยิ่งกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้

ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved