อย่า "นิยมวัตถุ"
  AREA แถลง ฉบับที่ 419/2561: วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ต่อผู้ที่มีฐานะพอที่จะใส่ของหรูหราได้ เราก็พึงดีใจกับเขาด้วย ไม่พึงอิจฉาเขา แต่พึงเข้าใจให้ชัดนี่คือความฟุ่ม เฟือยที่ไม่พึงนิยม ส่วนมากใส่เพื่อปกปิดจุดอ่อนที่หาดีด้านอื่นในตัวมาอวดไม่ได้ อย่าได้สยบยอมกับความรวย

            ในหนังสือพิมพ์มีข่าวนาฬิกาเรือนละ 17 ล้าน หรือบางเรือนอาจสูงค่ากว่านี้ ผู้ใส่ๆ แล้วคงอวดประชันกันได้ดีมากเลย คงเป็น "ของเล่น" สำหรับเศรษฐี  หลายๆ คนคงอยากได้ทรัพย์แบบนี้ ดาราเท่ๆ ก็เป็นแค่เครื่องมือในการกระตุ้นความอยาก ซึ่งเป็นในแง่ของความพึงพอใจเป็นสำคัญ ไม่ได้เกี่ยวกับความต้องการจำเป็น เพราะใส่แล้วก็ไม่ได้ทำให้มีสุขภาพดีขึ้น อายุยืนยาวมากขึ้น เป็นต้น

            ทั้งหมดนี้คือการนิยมวัตถุ คือการนิยมชมชอบในวัตถุสิ่งของภายนอกต่างๆ ซึ่งต่างจากวัตถุนิยม หรือ Materialism หรือ สสารนิยม ซึ่ง "เป็นแนวคิดทางปรัชญา ที่ถือว่ามีเพียงสสาร และปรากฏการณ์ของสสารที่เป็นจริง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ เกิดจากผลผลิตของสสาร ซึ่งคำอธิบายของวัตถุนิยมนั้นขัดแย้งกับปรัชญาจิตนิยม (https://bit.ly/2MEcHRB)

            เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่มักประชันกันด้วยสิ่งภายนอก เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า ทอง หรือวัตถุมีค่า รถ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ เพื่อสร้างความยอมรับในสังคมต่อสถานะของตนเอง และเพื่อเป็นการ "ข่ม" ผู้อื่นที่ด้อยทรัพย์สินกว่า  บ้างก็ทำเพื่อความมั่นใจ ความสะใจ เป็นเครื่องหมายของความสำเร็จ ความภาคภูมิใจของตนเองและญาติมิตรที่ใกล้ชิด เช่น บุพการีหรือลูกหลาน และยังถือเป็นการให้รางวัลกับชีวิต

            ถ้าเราพบคนที่ชอบอวดด้วยอาภรณ์ต่างๆ นั้น เราควรชื่นชมยินดีกับเขา เพราะเขาคงดีใจมากที่มีคนชมเขาด้วยน้ำใสใจจริงได้ตามที่คนส่วนมากคาดหวังในการใส่  เราไม่พึงไปอิจฉาริษยาเขา เรียกว่าควรอนุโมทนาสาธุกับพวกเขาด้วย ที่พวกเขามีเงินมากมายเพียงพอที่จะซื้อสิ่งเหล่านี้มา "ประดับบารมี" ในทางตรงกันข้ามพวกเขาอาจแอบโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหากเราไม่เอ่ยคำชมเสียบ้าง

            อย่างไรก็ตามเราก็ควรมองให้ออกว่านี่คือ "ของเล่น" สำหรับเศรษฐี แม้เราจะไม่ไปอิจฉาพวกเขา แต่เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า พวกเขาคงไม่ค่อยมีอะไรจะอวดอีกแล้ว ความรู้ ความสามารถ ก็คงมีอยู่จำกัด เลยต้องงัดเอาความรวยมาอวด พวกที่ชอบอวดจึงมักเป็นพวก "กิ้งก่าได้ทอง" หรือพวก "วัวลืมตีน"  ทั้งนี้เพราะคนที่รวยมากๆ รวยจริงๆ มักจะไม่อวด ทำตัวปกติ หรือบางคนกระทั่งทำตัวเป็น "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" ด้วยซ้ำไป โดยนัยนี้ผู้ปกครองประเทศมักพยายามให้ลาภยศแก่ประชาชนระดับหนึ่งให้เผยอขึ้นมาคอยกำราบประชาชนระดับล่างกว่าให้ศิโรราบเพื่อคำจุนอำนาจผู้ปกครองประเทศ

            ที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องไม่สยบยอมต่อคนรวย ต่อความรวย การสยบยอมต่อคนรวยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมอยู่บนความไม่เท่าเทียม คนจนถูกกดขี่ขูดรีดโดยคนรวยๆ คนจนกว่าก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราจะยอมให้คนรวยมาข่มเหงคนจนกว่าไม่ได้ เพราะทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เพราะทุกคนต่างเป็นคนไทยเหมือนกัน ในยามรบก็ต้องรบเพื่อพิทักษ์มาตุภูมิเช่นกัน

            ที่เราต้องเห็นแก่คนจนนั้น ก็เหมือนดั่งที่มีคนตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจมากว่า เราไม่ควรสร้างสะพานลอย โดยเฉพาะถนนที่ไม่ใช่ทางด่วน ทางพิเศษ เพราะเท่ากับเราต้องสยบยอมต่อคนรวย คนไม่มีรถต้องปีนบันไดขึ้นไปข้ามถนน ยิ่งคนแก่เฒ่ายิ่งลำบาก แต่คนรวยกลับสามารถขับรถได้ด้วยความสะดวก คนขับรถต่างหากที่พึงระมัดระวังคนข้ามถนน ให้เกียรติคนข้ามถนน ให้คนข้ามถนนไปก่อน ไม่ใช่ให้รถที่ถือว่าตนมีกำลังวิ่งได้เร็วกว่าไปก่อน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เราไม่ได้สอนสั่งในสังคมที่สยบยอมต่ออำนาจ (เงินตรา) ที่แสน "เน่าเฟะ" นี้

            อย่านิยมวัตถุ อย่าสยบยอมต่อลาภยศสรรเสริญ

อ่าน 3,380 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved