โต้ความคิดอวิชชาเรื่องโลกร้อน
  AREA แถลง ฉบับที่ 468/2561: วันพุธที่ 26 กันยายน 2561

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            เรากำลังโฆษณาชวนเชื่อเรื่องโลกร้อนกันอย่างเมามัน โดยแทบไม่เคยชี้แจงข้อมูลให้กระจ่าง นี่ย่อมเป็นกระบวนการของอวิชชาโดยแท้ ผมขอลงทุนมองต่างมุมเพื่อหวังให้เกิดสังคมอุดมปัญญาที่จะเชื่อกันด้วยวิจารณญาณจากการไตร่ตรองด้วยประจักษ์หลักฐานและเหตุผลอย่างรอบด้าน ที่ผมว่าต้อง “ลงทุน” นำเสนอนั้น เพราะการมองต่างจาก “ฝ่ายธรรมะ” (ที่พยายามเย้วๆ ปลุกให้คน “ทำดี” เพื่อให้ตนเองดูดีนั้น) ย่อมเสี่ยงต่อการถูกบริภาษหรือถูกมองในแง่ลบ แต่ผมก็ได้เพียงหวังว่าวิญญูชนจะร่วมกันพิจารณาครับ

            สำหรับข้อโต้แย้งในที่นี้ ผมขอนำเสนอเป็นข้อ ๆ ดังนี้:

            1. วิทยากรเรื่องโลกร้อนมักจะนำเสนอในลักษณะคล้ายการนำเสนอทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่าการนำเสนอเหล่านั้น มักจะนำเสนอด้วยข้อมูลด้านเดียว และมักไม่มีแหล่งอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมาให้ผู้ฟังได้วินิจฉัย ดูเป็นการ “ยกเมฆ” มากกว่า เช่น การที่โลกอุ่นขึ้นก็มองเพียงว่าทำให้เชื้อโรคอยู่ได้นานขึ้น แต่ไม่บอกความจริงว่าโลกอุ่นทำให้สามารถผลิตธัญญาหารได้มากขึ้น หรือการละเลยความจริงที่ว่าโลกร้อนก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเคยร้อนอย่างเป็นวัฏจักรมาก่อน หรือโลกยังเคยมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาลกว่าในปัจจุบัน เป็นต้น

            2. การ “ขู่” ว่าน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายภายในเวลา 30-40 ปี เมื่อถึงตอนนั้นน้ำจะท่วมโลกในระดับความสูงถึง 80 เมตร เรื่องนี้วิญญูชนควรไตร่ตรอง การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอะไรจะรวดเร็วได้ถึงขนาดนั้น ชั่วเวลานานแสนนานจึงจะมีน้ำท่วมโลกสักที จู่ ๆ ก็จะท่วมภายในเวลาเพียงแค่นี้ นี่แสดงว่าพวกคลั่งเรื่องโลกร้อนบางส่วนจินตนาการเพ้อฝันยิ่งกว่านิยายวิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์เรื่อง “Water World” เสียอีก

            3. การ “โฆษณาชวนเชื่อ” ด้วยการนำภาพเด็ดต่าง ๆ มานำเสนอ เช่น น้ำท่วมนครเวนิส ในขณะที่บางครั้ง น้ำคลองในเวนิสก็เหือดแห้งจนพายเรือไม่ได้ (https://bit.ly/2MCVB2g) หรือการบิดเบือนว่าน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นทั้งที่มีการศึกษาเช่นกันว่าระดับน้ำลดลง (https://bit.ly/2NND3AV) นอกจากนี้ยังชอบกล่าวว่าชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะไปโดยไม่นำพาข้อเท็จจริงในอีกด้านหนึ่งว่ามีการงอกของที่ดินริมทะเลในพื้นที่อื่นเช่นกัน (http://bit.ly/2oFiI2G)

            4. การ “ใส่ไข่” ว่าพื้นที่ชายฝั่งแถวกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถูกกัดเซาะต่อเนื่องเพราะภาวะโลกร้อนจนวัดอยู่กลางน้ำ ทั้งที่สาเหตุหลักเป็นเพราะการทำลายป่าชายเลน การทรุดตัวของแผ่นดินจากการสูบน้ำบาดาล และอื่นๆ และกลับละเลยความจริงที่ว่าพื้นที่ลึกเข้าไปในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น วัดเจดีย์หอย ปทุมธานี ยังเคยเป็นทะเล และกลายเป็นแผ่นดินเพราะการสะสมของตะกอนจนถึงทุกวันนี้

            5. ที่น่า “ละอาย” อย่างมากเลยก็คือการโยงแทบทุกปัญหาในโลกนี้ว่าเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน เช่น พายุนาร์กีสทั้งที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเคยมีที่ร้ายแรงกว่านี้มาแล้วในภูมิภาคนี้ในอดีต (https://bit.ly/2DcauJI) นอกจากนี้การประท้วงเรื่องอาหารในเฮติหรือในประเทศอื่น ก็ยังถูกเหมารวมไว้ว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อนเช่นกัน

            6.   การนำเสนออย่างไม่ฉุกคิดถึงเหตุผล เช่น หิมะบนยอดเขาคีรีมันจาโรหรือยอดเขาสูงอื่น ๆ ละลายได้อย่างไรในขณะที่ตลอดทั้งปีมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และแม้ว่าหากอุณหภูมิบนผิวโลกจะสูงขึ้นบ้าง บนยอดเขาก็ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ดี การที่น้ำแข็งจะละลายอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ควรศึกษาให้ละเอียด เช่น การเปลี่ยนแปลงใต้พิภพ ไม่ใช่สักแต่โทษเรื่องโลกร้อน

            7. พวกนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อเรื่องโลกร้อนมัก “ใส่ร้าย” ผู้อื่น เช่น พอนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนออกมาตั้งคำถามต่อพวกเขา พวกเขาก็มักจะกล่าวหาว่าพวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นรับใช้นายทุนหรือประเทศมหาอำนาจ เป็นต้น โดยมักไม่ใส่ใจถกเถียงทางวิชาการให้ชัดเจน จะสังเกตได้ว่าพวกคลั่งเรื่องโลกร้อนมักเอาเครดิต ความน่าเชื่อถือของตัวเองมาจูงใจให้คนเชื่อ (ผิดหลักกาลมสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะว่าคนพูดเป็นอาจารย์) มากกว่าการใช้ประจักษ์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาหักล้าง

            8. พวกคลั่งเรื่องโลกร้อนมักจะไม่ใส่ใจการพัฒนาประเทศ คิดแต่เพียงว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพมหานคร ต้องหนีไปที่อื่น คิดไปไกลถึงขนาดว่าไม่ควรสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเพราะจะเป็นการสูญเปล่า อวดฉลาดว่าสนามบินสุวรรณภูมิที่สร้างด้วยเงินหลายแสนล้านบาทจะเป็นความสูญเปล่า พวกนี้ไม่ยอมรับความจริงว่าประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ยังอยู่ได้ในระดับต่ำกว่าน้ำทะเลมานานแล้ว โดยบางแห่งต่ำกว่าถึงสิบกว่าเมตร การคิดแบบ “งอมืองอเท้า” ของคน “ขวางโลก” เหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการคิดที่ยอมจำนนและไม่สร้างสรรค์อะไรเลย

            9. พวกนี้ยังมีความคิดที่เป็นไสยศาสตร์ เช่น นักวิทยาศาสตร์โลกร้อนคนหนึ่งอภิปรายว่า ขณะนี้ไม่มีทางออกแล้ว แต่การทำบุญตักบาตรหรือถวายสังฆทานอาจเป็นวิธีหนึ่งเพราะอย่างน้อยก็เป็นการบำบัดจิต การที่ “นักวิทยาศาสตร์” ชิงบทบาทของนักการศาสนามานำเสนอเช่นนี้เป็นเรื่องน่าสลดยิ่ง นี่ไม่ใช่การแสดงว่าพวกเขาเป็นศาสนิกชนที่ดี คนพวกนี้เพียงนำศาสนามาเป็นอาภรณ์ประดับให้ตนดูดีมากกว่า

            โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าผมไม่เห็นด้วยกับการรณรงค์ให้สังคมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมนะครับ  ผมสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าไม้ (https://bit.ly/1EzkKXb) ทุกคนควรประหยัดการใช้ทรัพยากรของโลกอยู่แล้ว แต่การพยายาม “โฆษณาชวนเชื่อ” ให้คนเชื่อทฤษฎีโลกร้อนที่ขาดประจักษ์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และมักกระทำด้วยการใช้ความน่ารัก น่าสงสารของคน สัตว์และสิ่งของมาชักจูงให้คล้อยตามนั้น เป็นสิ่งที่เราควรใช้วิจารณญาณให้ดี  ถ้าน้ำจะท่วมจริง ป่านนี้สิงคโปร์ ฮ่องกง และมหานครริมทะเลทั้งหลายก็คงกระวีกระวาดกันสร้างกำแพงกันน้ำกันยกใหญ่แล้ว แต่นี่มีเฉพาะไทยที่ถูกหลอกอยู่หรือเปล่า

            โปรดสังเกตว่าคนที่ออกมาโพนทะนาเรื่องโลกร้อน มักชอบใช้ความกลัวทำให้คนงมงาย และมักพยายามพูดดีเพื่อให้ตนเองดูดีเป็นสำคัญ ผมนำเสนอข้อโต้แย้งเหล่านี้เพื่อให้เกิดการอภิปรายและวินิจฉัยกันด้วยเหตุผล อันจะทำให้เกิดการคิดค้นหาทางออกของปัญหามากกว่าการยอมจำนน

            เพื่อสังคมอุดมปัญญาที่คิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

อ่าน 1,719 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved