ขณะนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากเรื่องการตั้งกาสิโนในไทย และดูเป็นประเด็นทางการเมืองทั้งที่กฎหมายก็ผ่านสภาด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วม มาดูกันว่าที่เมืองนอกเป็นอย่างไร
ผมยังเคยไปประเมินค่ากาสิโนในประเทศอาฟริกาหลายประเทศ ผมเคยไปกาสิโนที่มารินาเบย์แซนด์ส เซ็นโตซา ประเทศสิงคโปร์ และอีกนับสิบแห่ง รวมทั้งที่ดินเพื่อพัฒนากาสิโนในกรุงเวียงจันทน์ ไปดูถึงเมืองไฮฟอง นครซิดนีย์ มาเก๊า หรือลาสเวกัส และเรโนในสหรัฐอเมริกา ฯลฯ น่าแปลกใจไหมว่าทำไมเขามีกาสิโนได้ ในประเทศตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี ฝรั่งเศส โดยเฉพาะสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าประชาชนมีจริยธรรมสูงส่ง มีวินัยดีเยี่ยม มีคุณภาพชีวิตและการศึกษาชั้นยอด กลับเปิดกว้างสำหรับการเปิดกาสิโนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีอยู่ทั้งหมด 19 จังหวัด ปรากฏว่าในทุกจังหวัดมีกาสิโน และไม่มีการจำกัดผู้เข้าไปเล่นการพนัน แต่กลับไม่มีปัญหาด้านอาชญากรรม หรืออาจจะมีเพียงน้อยมาก แต่สำหรับในประเทศไทยแม้ว่าจะไม่มีกาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นที่ทราบทั่วกันว่ามีบ่อนการพนันอยู่ทั่วทุกหัวระแหง และยังมีกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบ ๆ ประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนมาก แสดงว่าในประเทศไทยก็มีบ่อนการพนัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา มีกาสิโนมากมาย เช่น มาเลเซียที่เป็นประเทศมุสลิม ก็มีเก็นติ้ง ตั้งมาเกือบ 40 ปี หลังสงครามอินโดจีน เมื่อประเทศไทยสามารถเปลี่ยนจากสนามรบเป็นสนามการค้าได้ ประเทศโดยรอบก็มีกาสิโนเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะตามตะเข็บชายแดนไทยกับพม่า ลาว และกัมพูชา ไม่เฉพาะแต่กับชายแดนไทย ชายแดนกัมพูชา-เวียดนามก็มี ลาว-จีน หรือชายแดนหรือเมืองท่องเที่ยวเวียดนามที่ชาวจีนตอนใต้เช่นไหหลำมักไปท่องเที่ยวก็มีกาสิโน เป็นต้น
การที่ประเทศที่เจริญน้อยกว่าไทย เช่น ลาว เขมร พม่า ต่างก็มีบ่อนเช่นกัน เอ้าราคงไม่อาจอ้างว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ทั้งที่ในเนปาล ศรีลังกา พม่า ที่เป็นเมืองพุทธจ๋าพอ ๆ หรืออาจมากกว่าไทยด้วยซ้ำ ก็ยังมีกาสิโน ไม่แน่ว่าคนที่อ้าง "เมืองพุทธ" อาจเป็นเจ้าของบ่อนการพนันผิดกฎหมายที่ต้องการให้ไทยคงสถานะผิดกฎหมายเอาไว้ จะได้กอบโกยเงินจากธุรกิจผิดกฎหมายนี้ไปตราบนานเท่านาน
หลักการและเหตุผลสำหรับการตั้งกาสิโนในประเทศไทยก็คือ เป็นการทะลายขุมทรัพย์ของผู้มีอิทธิพลที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ที่จะนำเงินไปใช้เพื่อการแผ่อิทธิพลที่ผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เช่น การซื้อเสียง นอกจากนี้การทำให้ธุรกิจกาสิโนเป็นธุรกิจถูกกฎหมาย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นการสร้างรายได้สำหรับประเทศชาติและคุ้มครองประชาชนทั่วไป การทำให้กาสิโนถูกกฎหมายจะสามารถดูแล ควบคุม และป้องกันปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ การฟอกเงิน และยังเป็นการหารายได้เข้าประเทศ ซึ่งจะสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่ง ก็คือ การทำให้กาสิโนเป็นธุรกิจถูกกฎหมายนั้น จะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้มีการเล่นการพนันเพิ่มขึ้นหรือไม่ ในข้อนี้จะเห็นได้ว่า อย่างกรณีคดีฆ่ากันตายนั้น อัตราของฮ่องกงคือ 0.2 สิงคโปร์ 0.3 มาเก๊า 0.7 ส่วนมาเลเซียคือ 2.3 สำหรับประเทศไทยที่ไม่มีกาสิโน กลับมีอัตราสูงถึง 4.8 นอกจากนั้นในกรณีของอินโดนีเซีย ก็มีอัตราสูงถึง 8.1 ทั้งที่ไม่มีกาสิโน ในความเป็นจริง การมีกาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจช่วยลดอาชญากรรมที่เกิดจากการมีกาสิโนผิดกฎหมายก็ได้
ปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้ประเทศไทยจะไม่มีกาสิโนอย่างเป็นทางการ หรือถือว่ากาสิโนเป็นสถานที่ผิดกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง มีกาสิโนอยู่มากมาย ตำรวจเข้าทลายกาสิโนเป็นระยะ ๆ และที่ไม่ทลายก็คงมีอีกเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่ามีกาสิโนทุกหัวระแหงก็ว่าได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีกาสิโนถูกกฎหมายอยู่เหมือนกัน เช่น การแข่งม้า เป็นต้น
ผมเคยไปประเมินค่าที่ดินที่จะทำกาสิโนโดยนักลงทุนมาเลเซียในชายแดนลาวพบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาคิดเป็นเงินไทยคงไร่ละ 20 ล้านบาท ขณะที่ที่ดินฝั่งไทยที่ใช้เพื่อการเกษตรหรือทำธุรกิจทั่วไป คงมีราคาไร่ละไม่ถึงล้าน นี่เป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของศักยภาพของที่ดินที่ใช้ทำธุรกิจที่ได้กำไรงาม กับที่ใช้กันตามปกติ
สำหรับการเสียภาษีกาสิโนนั้น สิงคโปร์กำหนดให้กาสิโนต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และเสียภาษีของกิจการอีก 17% ทำให้รัฐบาลมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการนี้ สำหรับที่มาเลเซีย รัฐบาลเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายประมาณ 30% ส่วนที่มาเก๊าเขาเก็บหนักถึง 35% และยังหักเพื่อสังคมอีก 2-3% รวมแล้วเกือบ 40% ของรายได้สุทธิของกาสิโน สำหรับที่สหรัฐอเมริกา เสียภาษี 7.5% - 32% (มลรัฐอินเดียนา) ของรายได้สุทธิ
รายได้จำนวนมหาศาลนี้สามารถนำมาพัฒนาประเทศได้มากมาย แต่หลายคนมองว่าเป็นภาษีบาป แต่ในความเป็นจริงนั้น คนที่เล่นการพนัน ก็มักจะเล่นเป็นอาชีพ เป็น "เซียน" แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ที่เล่นมักเป็นนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ซึ่งแต่ละคนอาจใช้จ่ายเงินหรืออีกนัยหนึ่ง "บริจาคเงินให้กาสิโน" เพื่อการนี้ไม่มาก แต่โดยที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาก จึงได้เงินจากส่วนนี้มากเป็นพิเศษ
ในกรณีสิงคโปร์ ยังมีข้อกำหนดพิเศษว่า หากคนสิงคโปร์จะเข้ากาสิโน จะต้องเสียค่าธรรมเนียมหัวละ 100 เหรียญหรือประมาณ 2,500 บาท แต่หากเป็นชาวต่างประเทศ ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงแสดงหนังสือเดินทางให้เห็นเท่านั้น จะสังเกตได้ว่าประชาชนที่อยู่ตามเมืองกาสิโนนั้น ไม่ได้ติดการพนันกันงอมแงมดังที่เราเข้าใจ แม้จะอยู่ใกล้กาสิโนก็ตาม ผู้คนก็มีการเรียนรู้และมีภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง "คุณพ่อแสนดี" เช่น นายลีกวนยิว บิดาแห่งสิงคโปร์ไปเสียทุกเรื่อง
กรณีตัวอย่างหนึ่งก็คือรายได้ของกาสิโนในลาสเวกัสเป็นเงินประมาณ 155,010 ล้านบาท แต่มีรายได้จากค่าที่พักอีก 93,180 ล้านบาท และจากอาหารและเครื่องดื่มอีก 87,690 ล้านบาท ความพยายามของเก็นติ้ง และกาสิโน 2 แห่งในสิงคโปร์ และอาจรวมถึงเกาะกงของกัมพูชา ก็คงหมายมั่นที่จะมีรายได้จากการอื่นเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน เช่นงานประชุมสัมมนาต่างๆ นักท่องเที่ยวมาเล่นกันแบบเล่นๆ เป็นหลัก พวก ‘ผีพนัน‘ คงเป็นคนส่วนน้อยมาก
ถ้าไม่มีอคติทางการเมือง กาสิโนควรมีเพื่อความโปร่งใสและนำเงินภาษีมาพัฒนาชาติ