วิพากษ์ความคิด ป. อ. ปยุตฺโต 2: ชำแหละหนังสือ "กรณีธรรมกาย"
  AREA แถลง ฉบับที่ 76/2560: วันอังคารที่ 07 กุมภาพันธ์ 2560

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

AREA แถลงฉบับนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของ ดร.โสภณ พรโชคชัย

            ท่านเคยอ่านหนังสือ "กรณีธรรมกาย" ไหม อ่านจบ 440 หน้าไหม  บางคนพอรู้ว่าเป็นหนังสือวิพากษ์ธรรมกายและเขียนโดยพระผู้ใหญ่ ก็เชื่อโดยสนิทใจว่าธรรมกายสอนผิดอย่างถึงแก่น  แต่ความจริงอาจไม่ใช่  หนังสือนี้อาจเป็นเพียงแค่เอกสารโฆษณาให้เกลียดชังธรรมกายมากกว่าบทวิเคราะห์ที่เป็นธรรม

            หนังสือ "กรณีธรรมกาย บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา และสร้างสรรค์สังคมไทยฉบับเพิ่มเติม-จัดลำดับใหม่" เล่มนี้เขียนโดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) หรือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ในปัจจุบัน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 24 - มกราคม 2551 หน้า 396-421 (http://bit.ly/VxBuIU) เผยแพร่ทางเว็บไซต์ที่ให้ download ฟรีโดยวัดญาณเวศกวันของสมเด็จฯ เอง  หนังสือนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2542 และพิมพ์ล่าสุด ครั้งที่ 31 เมื่อเดือนมีนาคม 2559 นับว่าน่าทึ่งที่พิมพ์ 31 ครั้งใน 18 ปี

            หนังสือเล่มนี้หนา 440 หน้า เมื่อรวมสารบัญอะไรต่าง ๆ ด้วยแล้วก็หนาถึง 456 หน้า แต่ในหนังสือนี้กลับวิพากษ์วิจารณ์ถึง "เอกสารของวัดธรรมกาย" ซึ่งก็เป็นแค่บทความฉบับเดียวของพระสมชาย ฐานวุฑโฒ ที่ชื่อว่า "นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" ที่เขียนเมื่อปี 2542 (และตีพิมพ์ในมติชนรายวัน 13 มกราคม 2542) และปรากฏในหนังสือกรณีธรรมกายฯ หน้า 272-282 นับเป็นเรื่องแปลกจริงๆ ที่สมเด็จฯ เขียนหนังสือถึง 456 หน้า โต้บทความสั้นๆ แค่ 11 หน้าแค่นี้

            พระสมชาย (ฐานวุฑโฒภิกขุ) หรือพระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (http://bit.ly/2ljbsXo) ในปัจจุบัน เคยเป็นนายแพทย์และกำลังเรียนปริญญาเอกในขณะนั้น ในวันที่เขียนบทความก็เพิ่งบวชเรียนมา 14 พรรษา อายุ 38 ปี และคงยังไม่ได้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธรรมกายด้วยซ้ำไป ส่วนสมเด็จฯ ในขณะนั้นบวชเรียนมาแล้ว 38 พรรษา อายุ 61 ปี เรียกว่าเป็นการ "ชกข้ามรุ่น" ระดับพ่อ-ลูก ระดับพระผู้ใหญ่กับพระลูกวัดเด็กๆ ของวัดธรรมกาย

            สำหรับเอกสาร 11 หน้าที่สมเด็จฯ เอามาวิพากษ์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวนี้ ก็ไม่อาจถือเป็นเอกสารอย่างเป็นทางการของวัดธรรมกาย  อันที่จริงสมเด็จฯ ควรไปรวบรวมตำรา ข้อเขียน หรือเทปคำสอนของเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่ในวัดธรรมกาย มาวิพากษ์วิจารณ์จึงจะถือว่าเป็นการหาข้อมูลที่ถูกต้องสมควร และจึงจะทำการวิเคราะห์อย่างมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือเพียงพอได้

            การวิพากษ์บทความชิ้นหนึ่งของพระหนุ่มลูกวัดในวัดธรรมกายโดยสมเด็จฯกลับเขียนยาวถึง 440 หน้า อาจทำให้ดูไม่งาม และเยิ่นเย้อ แม้ผู้อ่านจะได้ความรู้เพิ่มเติมในหลายเรื่อง แต่ก็เป็นเรื่องที่แม้เกี่ยวข้องแต่ไม่จำเป็นและควรที่จะกระชับให้ได้ใจความสำคัญ ยิ่งกว่านั้นท่านควรมีระเบียบวิธีวิจัยบ้าง คือ มีการกล่าวถึงปัญหาของวัดธรรมกายเป็นข้อ ๆ แสดงวิธีในการศึกษาอย่างเป็นระบบ แล้วลงมือวิเคราะห์ให้เห็นข้อผิดเป็นเปลาะๆ ไขให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง พร้อมบรรณานุกรม แต่เสียดายที่หนังสือเล่มนี้กลับขาดสิ่งเหล่านี้ เขียนซ้ำซากปนเป

            ในบทความของพระสมชายที่สมเด็จฯ อ้างถึง มีความตอนท้ายว่า "อาจสรุปได้ประการหนึ่งก็คือ เราไม่สามารถอาศัยหลักฐานทางคัมภีร์เท่าที่เหลืออยู่ในปัจจุบันมาสรุปยืนยัน (อย่างใดอย่างหนึ่ง) โดยไม่มีประเด็นให้ผู้อื่นโต้แย้งคัดค้านได้. . . เมื่อเราปฏิบัติจนสามารถเข้าถึงอายตนนิพพานนั้นได้แล้ว เราย่อมตระหนักชัดด้วยตัวของเราเองว่า นิพพานนั้นเป็นอัตตาหรืออนัตตา ดีกว่าการมานั่งถกเถียงกันโดยไม่ลงมือปฏิบัติ" ข้อนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าบทความนี้มุ่งเปิดกว้างเพื่อให้เกิดสังคมอุดมปัญญา ไม่ได้กล่าวสรุปเป็นตุเป็นตะว่าต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง

            ประเด็นเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตานั้น พูดไปพูดมา ชาวบ้านทั่วไปคงไม่ได้อะไรด้วย ใครจะไปนิพพานยังไง คงนึกภาพได้ยาก อย่าว่าแต่ระดับตรัสรู้เลย ใครกล้าบอกว่าตนบรรลุแค่โสดาบัน ก็ยังไม่รู้จะเชื่อได้หรือไม่ ถ้านำเรื่องนี้ไปถามหลวงปู่ทวด ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่มั่น หลวงพ่อคูณ ฯลฯ ท่านก็คงไม่มาถกจับผิดกันหรอก ท่านเหล่านั้นคงต่างมุ่งในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ตามในวงการศึกษา ก็ควรนำมาถกกันเพราะจะได้เป็นการศึกษาศาสนาพุทธให้ลึกซึ้ง เพียงแต่ไม่พึงพูดในเชิงให้ร้ายกัน

            ในหนังสือ "กรณีธรรมกาย" นี้ เริ่มต้นยังทันได้วิเคราะห์ก็ "พาดหัว" คล้ายพิพากษาในเชิงลบให้ธรรมกายเสียหายอย่างหนักหนาสาหัสเสียแล้ว เช่น "กรณีธรรมกาย ถึงขั้นจ้วงจาบพระธรรมวินัย" (น.1) ". . .ทําพระธรรมวินัยให้วิปริต ร้ายยิ่งกว่า" (น.4) "ถ้าตีรวนพระไตรปิฎกได้ก็ถอนรากพระสงฆ์ไทยสําเร็จ" (น.28)  ลักษณะการเขียนพาดหัวแบบนี้ตั้งแต่หน้าแรก ๆ โดยที่ยังไม่ได้วิเคราะห์ ดูคล้ายไม่ได้มุ่ง "เพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา และสร้างสรรค์สังคมไทย" ดังชื่อหนังสือเสียแล้ว

            นอกจากนี้สมเด็จฯ ยังเพียงเอาคำสัมภาษณ์ของพระลูกวัดธรรมกายอีกรูปหนึ่ง (ไม่ได้อ้างชื่อ) ในมติชน อาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2542 น.7 ที่ว่า "ต่อมาทางวัดมีพระที่ออกมาพูดกล่าวตอบทํานองว่า เรายึดแนวพระพุทธเจ้าจะชนะด้วยความสงบนิ่ง . . ."  สมเด็จฯ ก็โต้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้แต่ความสงบนิ่งมาเอาชนะ บางทีก็ใช้ฤทธิ์ หรืออื่นๆ แต่ในกรณีนี้วัดธรรมกายเลือกใช้วิธีสงบนิ่งก็นับว่าดีแล้ว สมเด็จฯ ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้หรือ จะสังเกตได้ว่ามีคนกล่าวให้ร้ายธรรมกายมากมาย แต่ธรรมกายก็ไม่เคยออกมาตอบโต้ใครเลย ข้อนี้นับเป็นสปิริตอย่างสูงก็ว่าได้

            ในทางตรงกันข้าม สมเด็จฯ กลับมองฝ่ายคุกคามธรรมกายไปในเชิงบวก โดยสมเด็จฯ เขียนว่า "แม้บางท่านจะรุนแรงทางถ้อยคําบ้าง ก็อาจเป็นเพราะความที่รักพระพุทธศาสนาและบ้านเมืองมาก เมื่อเห็นอยู่ชัดเจนว่าคำสอนและการปฏิบัติของชาวสํานักผิดแผกแตกต่างหรือสวนทางไปไกลด้วยความรักต่อพระศาสนาและส่วนรวม จึงทําให้ท่านเหล่านั้นอดใจไม่ได้ต้องแสดงออกมารุนแรง แต่ก็เพียงด้วยวาจา" (น.251) ในข้อนี้ สมเด็จฯ ควรเตือนฝ่ายคุกคามให้เลิกก่อวจีกรรมต่อชาวพุทธด้วยกัน และสมเด็จฯ พึงดูออกว่า พวกนี้น่าจะมีพฤติกรรมรุนแรงไม่ใช่เพียงด้วยวาจาแล้ว

            สมเด็จฯ ยังเพียงอ้างหนังสือ “เดินไปสู่ความสุข” ของธรรมกาย (น.38) ว่าได้เล่าเรื่องครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แม่ชีปัดระเบิดไปตกฮิโรชิมา แต่เมื่อตรวจดูหนังสือดังกล่าว (http://bit.ly/2ljlMhZ) ก็ไม่พบเรื่องฮิโรชิมา แต่มีการปัดระเบิดในไทย ซึ่งเป็นเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ที่ผู้เขียนเองก็ไม่เชื่อ แต่เรื่องแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เขียนในวงการสงฆ์ไทยโดยทั่วไป สมเด็จฯ ไม่ควรเลือกเพ่งโทษเฉพาะธรรมกาย อย่างไรก็ตามพื้นที่ส่วนใหญ่ของหนังสือของสมเด็จฯ ก็เน้นไปในเรื่องอื่น เช่น ภาค ๒ บุญ–บารมีที่จะกู้แผ่นดินไทย (น.283-357) ส่วนหน้า 392-442 ผมได้วิพากษ์ไปแล้วก่อนหน้านี้ (http://bit.ly/2ldBU4w)

            น่าสังเกตว่าสมเด็จฯ มีฐานะที่สูงส่งเป็นพระผู้ใหญ่ สิ่งที่ท่านเขียนจึงมีคนเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง หรืออาจจะเชื่อโดยไม่ได้อ่านหรืออ่านไม่จบด้วยซ้ำไป อันที่จริงควรจัดประชุมปุจฉาวิสัชนาเพื่อให้เกิดสังคมอุดมปัญญา แทนการเขียนอยู่ข้างเดียวแบบนี้ แถมมีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของท่านเองและตีพิมพ์ซ้ำๆ ไปแล้วถึง 31 ครั้งในระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายวัดธรรมกายก็คงเห็นว่าการโต้แย้งไปก็ไร้ประโยชน์เพราะมวลชนฝ่ายตรงข้ามเน้นแต่บริภาษเป็นหลัก การไม่ได้อ่านหนังสือของสมเด็จฯ ให้ชัดเจน จึงกลายเป็นการสร้างความแตกแยกไปเสียอีก

            ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเป็นปรากฏการณ์เหลือเชื่อจริงๆ ที่สมเด็จฯ เขียนยาวถึง 440 หน้า พิมพ์ซ้ำถึง 31 ครั้ง เพื่อเน้นตอบโต้บทความ 11 หน้าของพระลูกวัดรูปหนึ่งของวัดธรรมกาย ซึ่งไม่ใช่ "เอกสารของวัดธรรมกาย" จริงๆ โดยไม่ได้ research หาข้อมูลคำสอนของธรรมกายโดยตรงแม้แต่น้อย

อ่าน 9,097 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved