ตายายเก็บเห็ดเรื่องดรามา แท้จริงแอบตัดไม้ทำลายป่า
  AREA แถลง ฉบับที่ 141/2561: วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

            ตามที่มีข่าวกันบ่อยๆ ว่ามีกรณีตายาย 2 คนไปเก็บเห็ดในป่าแล้วถูกตั้งข้อหาหนัก แต่ทีผู้มีตำแหน่งใหญ่โตปลูกบ้านบนเขายายเที่ยง หรือนักธุรกิจใหญ่ไปยิงเสือก็กลัวว่าจะไม่ได้รับการลงโทษเช่นเดียวกับตายายนั้น แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นดรามา ความจริงก็คือ "สองตายาย" ทำผิดข้อหาแอบตัดไม้ทำลายป่า

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ยกกรณีตัวอย่างดรามาในสังคม โดยความจริงคือ

            1. ไม่มีข้อหาการเก็บเห็ดในป่าแต่อย่างใดเลย

            2. สองคน (นายอุดม ศิริสอน และนางแดง ศิริสอน)ตอนถูกจับเมื่อปี 2553 อายุ 51 ปีและ 48 ปีตามลำดับ แต่กลับเรียกขานว่าตายาย  (คงเรียกให้ดูน่าสงสาร)

            3. มีข่าวว่า "ตายายเก็บเห็ดพ้นคุก ยังแร้นแค้นขยาดป่าไม่เข้าใกล้" (16 มิถุนายน 2558: https://goo.gl/FaH5bg) แต่เห็นมีบ้านหลังใหญ่ มีรถ 6 ล้อ และมีสติ๊กเกอร์ "รับยกบ้าน" (อาชีพเป็นผู้รับเหมายกบ้าน?) ซึ่งก็น่าแปลกดี (7 กุมภาพันธ์ 2561 https://goo.gl/6HFYzz)

            4. สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาปรากฏว่า ความผิดที่แท้จริงคือการแอบตัดไม้ทำลายป่า ไม่ใช่การเก็บเห็ด แต่ทนายและญาติก็บอกว่าถูกหลอกให้สารภาพ แต่ในกรณีนี้ ศาลทั้ง 3 ศาลก็พิจารณาชัดแล้ว (https://goo.gl/F71VG6)

            คดีนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2553 จำเลยทั้งสอง ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในการทำไม้ในป่าดงระแนง ตำบลคลองขาม อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งอยู่ในแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ คิดเป็นเนื้อที่ 72 ไร่ และใช้อุปกรณ์เครื่องมือใดไม่ปรากฏชัดตัดและโค่นไม้สัก ไม้กระยาเลย ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ออกจากต้น 700 ต้น อยู่ในเขตที่ดินป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นป่าตามกฎหมายโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ได้รับสัมปทานหรือได้รับยกเว้นใดๆตามกฎหมายให้ทำไม้ได้ อันเป็นการกระทำด้วยประการใดๆ ทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมีไม้สักกับไม้กระยาเลยอันยังไม่ได้แปรรูป อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.  จำนวน 1,148 ท่อน รวมปริมาตร 65.69 ลูกบาศก์เมตร  คิด เป็นเงินค่าภาคหลวง 552,160 บาท  โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือ รอยตรารัฐบาลขายไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต

            จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว. . .พิพากษาให้จำคุกคนละ 15 ปี ริบของกลางทั้งหมด ให้จำเลยทั้งสองออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เข้าไปครอบครอง. . .ศาลอุทธรณ์. . .ลงโทษฐานร่วมกันทำไม้ คนละ 5 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูป คนละ 9 ปี 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 14 ปี 12 เดือน. . .ศาลฎีกา. . .พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองจำคุกคนละ 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 ปี

            นอกจากนี้ศาลฎีกายังเห็นว่า. . .ข้ออ้างอาการป่วยของจำเลยที่ 1 ตามฎีกา เป็นการกล่าวอ้างเพิ่มขั้นในชั้นฎีกาแตกต่างกับข้ออ้างในชั้นอุทธรณ์. . .นอกจากนี้อาการป่วยของจำเลยที่ 1  ตามข้ออ้างในฎีกายังขัดแย้งกับใบรับรองแพทย์  โรงพยาบาลกาฬสินธุ์. . .ดังนี้ ส่อแสดงว่า จำเลยทั้งสองพยายามปรุงแต่งข้ออ้างอาการป่วยเจ็บของจำเลยที่ 1 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยบิดเบือนไปให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจ แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างมานั้นขัดแย้งกันเองทั้งสิ้น จึงเป็นพิรุธรับฟังเป็นความจริงไม่ได้. . .

            ความจริงกับความเชื่อบางทีก็แตกต่างกัน

ภาพดรามา 1

 

ภาพดรามา 2

 

ภาพดรามา 3

อ่าน 10,823 คน
2024 Copyright © by area.co.th All Rights Reserved