เหตุการณ์ระเบิดในช่วงวันที่ 11-12 สิงหาคม 2559 ผ่านมา 1 เดือนเต็มแล้ว ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอะไรไว้บ้าง

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้นำข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวต่าง ๆ มาวิเคราะห์ประเด็นการก่อการร้ายกับการท่องเที่ยวไทย ดังนี้:

            จะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยลดลงประมาณ 17% จากช่วงวันที่ 13 สิงหาคม - 10 กันยายน 2559 ทั้งนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิลดลงมากที่สุดถึง 19% ภูเก็ตลดลง 14% และสนามบินอื่น ๆ อีก 3 สนามลดลง 12%  อย่างไรก็ตามในกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ ยังพบเห็นนักท่องเที่ยวจีนมากันมากมาย แต่หากถามแท็กซี่สนามบิน ก็จะพบว่านักท่องเที่ยวลดลงมากหลังเหตุการณ์ระเบิด แสดงว่านักท่องเที่ยว (กระเป๋าหนัก) จากภูมิภาคอื่น บินเข้ามาในกรุงเทพมหานครน้อยลงนั่นเอง

            หากนำจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงต่อวันมาคูณด้วย 30 วัน ก็อาจอนุมานได้ว่านักท่องเที่ยวหายไปกับการนี้ 417,885 คน ซึ่งลดลงประมาณ 1.4% ของจำนวนนักท่องเที่ยวปีที่แล้วที่ 29,881,091 คนเท่านั้น แต่หากมีเหตุการณ์ลุกลามมากไปกว่านี้ ก็จะกระทบการท่องเที่ยวของไทยในระยะยาวได้ และจากข่าว "จักรทิพย์ยัน! รู้ตัวมือบึ้ม 7 จว.ใต้แล้ว เป็นคนรุ่นใหม่ -ไม่เคยมีประวัติการก่อการร้าย" (http://bit.ly/2ckATVC) แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุระเบิดเพราะการก่อการร้ายแบบนี้จึงจะมีได้อีก ความสูญเสียจึงเป็นสิ่งที่พึงประเมินให้ดี

            ในที่นี้ ดร.โสภณ ประเมินความเสียหายไว้ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นเงิน 20,239 ล้านบาท โดยดูจากสถิตินักท่องเที่ยวที่หายไป 417,885 คน และมีค่าใช้จ่ายคนละ 48,431 บาทนั่นเอง ดังนั้นหากสามารถหาทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบได้ ก็น่าจะคุ้มค่ากว่าการเกิดความสูญเสียแบบนี้ แนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาตามแบบฉบับของจังหวัดอาเจะห์ของอินโดนีเซียก็คือการให้ประชาธิปไตยในท้องถิ่นแก่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นการให้ความยุติธรรมโดยไม่ต้องส่งทหารไปสูญเสียและสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลเช่นทุกวัน ประชาธิปไตยจะทำให้ 3 จังหวัดนี้เจริญขึ้น และช่วงดึงให้เศรษฐกิจไทยเจริญตามไปได้ด้วย

            ยุติธรรมมี สามัคคีจึงเกิด

ที่มา: http://morning-news.bectero.com/uploads/pic_tiny/images/12345.jpg